สรุปข้อมูลบริษัท GRAB : GRAB การลงทุนเสี่ยงเหลือเกิน
เมื่อพูดถึง UBER ในฟากฝั่งอเมริกา เราจะต้องนึกถึงแอป Grab ในฟากฝั่งเอเชียขึ้นมาอีกอันอย่างช่วยไม่ได้
ทั้งสองสตาร์ทอัพนี้มีสิ่งที่เหมือนกันคือ เป็นแพลตฟอร์มที่ไว้ใช้เรียกรถเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นแท็กซี่ ลีมูซีน มอเตอร์ไซค์ หรือแม้แต่สั่งอาหาร จะเรียกว่า Grab คือ Uber แห่งเอเชียก็ไม่ผิดนัก และอันที่จริงคนไทยน่าจะคุ้นเคยกับ Grab มากกว่าเสียอีก เพราะมีกลุ่มผู้ใช้งานที่มากกว่า และอย่างที่เราได้เห็นกันว่า Uber ในไทยถูกแปรสภาพเป็น Grab ไปเรียบร้อย
แต่รู้หรือไม่ว่า หนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Grab ก็คือ Uber
Grab ก่อตั้งขึ้นราว ๆ ปี 2011 โดย Anthony Tan และ Hooi Ling Tan สองนักธุรกิจชาวมาเลเซียที่เริ่มต้นคิดโมเดลธุรกิจนี้ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ฮาร์วาร์ด
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรการเรียกแท็กซี่จึงเป็นเรื่องลำบากยากเย็นไปทั่วโลก เรียกแล้วไม่ไป พาอ้อม โดนโกงค่าโดยสาร ฯลฯ ในฝั่งอเมริกาจึงมี Uber ถือกำเนิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาจุดนี้ และ Grab ก็ถือกำเนิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเรื่องแท็กซี่ในมาเลเซียเช่นกัน โดยใช้ชื่อในตอนแรกว่า MyTeksi
นับจากนั้นเป็นต้นมา Grab ก็ขยายตลาดไปสู่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น และได้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเมื่อปี 2013 โดยมีคุณจูน จุฑาศรี คูวินิชกุล เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Grab ประเทศไทยที่มีส่วนช่วยให้สตาร์ทอัพแห่งนี้ประสบความสำเร็จอย่างที่เราเห็น
และแน่นอน สตาร์ทอัพอย่าง Grab ก็มีความฝันอันสูงสุดที่ไม่ต่างกับสตาร์ทอัพเจ้าอื่น ๆ ขึ้นการพาตัวเองไปโลดแล่นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ แม้ตอนนี้บริษัทจะยังไม่ได้จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่ก็มีมูลค่ากิจการที่สูงกว่า 1.4 หมื่นล้านเหรียญเข้าไปแล้ว
รายได้ของ Grab (ไม่เป็นทางการ)
รายได้ปี 2017 – 0.5 พันล้านเหรียญ
รายได้ปี 2018 – 1.1 พันล้านเหรียญ
รายได้ปี 2019 – 2.3 พันล้านเหรียญ
ถึงแม้ Uber และ Grab จะมีหลายสิ่งที่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ Uber แตกต่างออกไปนั้นมีอยู่สองอย่าง คือ 1) บริษัทได้จดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นแล้ว และ 2) บริษัทเคยมีกำไรมาแล้ว ข้อนี้เองที่สำคัญ จริงอยู่ว่า Grab อาจมีรายได้นับพันล้านเหรียญต่อปีแต่บริษัทก็ยังไม่สามารถทำกำไรได้ (น่าเสียดายที่บริษัทไม่เคยเปิดเผยว่าขาดทุนเท่าไหร่) ในขณะที่ Uber ถึงแม้จะมีผลประกอบการลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่แพ้กัน ก็ยังเคยมีกำไรเกือบ 1 พันล้านเหรียญในช่วงปี 2018
การที่บริษัทยังไม่มีกำไรนี้เองคืออุปสรรคสำคัญที่ Grab ไม่ได้นำบริษัทเข้าตลาดหุ้น เพราะถ้ากิจการขาดทุนอย่างต่อเนื่องมันคงไม่ดีแน่ในมุมมองของนักลงทุน และ Uber เองก็เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Grab ที่ถือหุ้นอยู่ประมาณ 23% ก็เตรียมจะถอนเงินลงทุนกว่า 2 พันล้านเหรียญหากบริษัทไม่สามารถเข้า IPO ได้ภายในปี 2023
ซึ่งหากถึงตอนนั้นจริง ๆ แล้ว Grab ยังพาตัวเองเข้าตลาดไม่ได้ บริษัทอาจต้องเตรียมเงินกว่า 2 พันล้านเหรียญมาเพื่อคืนเงินให้กับ Uber เป็นเงินก้อนใหญ่ไม่น้อยสำหรับบริษัทที่ยังมีผลประกอบการขาดทุน เงินก้อนใหญ่ที่อาจทำให้บริษัทมีปัญหาใหญ่ในเรื่องสภาพคล่อง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้เองที่ผู้ก่อตั้งได้ให้สัมภาษณ์สื่อว่าจะพาบริษัทกลับมามีกำไรให้ได้ภายใน 12 เดือนนับจากนี้ และถ้ากลับมามีกำไรได้ก็จะนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นให้ได้เร็วที่สุด หากถามว่าเป็นไปได้ไหม ? ก็มีสิทธิ์ เพียงแต่อยู่ที่ว่าบริษัทจะสามารถคุมค่าใช้จ่ายได้ขนาดไหน ต่อให้มีรายได้เพิ่ม แต่ต้นทุนโตเร็วกว่ารายได้ ทุกอย่างก็จบ แล้วความฝันในการเข้าตลาดหุ้นก็คงจะเลื่อนลอยออกไปในทุก ๆ วินาทีที่ขาดทุน
Grab อาจเป็นสตาร์ทอัพที่พลิกชีวิตให้กับผู้ก่อตั้ง แต่สำหรับนักลงทุนที่ร่วมลงขันไปแล้วยังไม่ได้อะไรกลับคืนมา มันอาจพลิกชีวิตไปอีกทางที่แย่กว่าก็ได้ ต่อให้สตาร์ทอัพรายได้นี้จะเป็นยูนิคอร์นขนาดหมื่นล้านก็ตาม
ลงทุนศาสตร์ – Investerest
ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , OFFICIAL LINE และ WEBSITE
พิเศษ! เข้ากลุ่มเรียนหุ้นออนไลน์ฟรีกับลงทุนศาสตร์แบบไม่มีเงื่อนไขได้ที่ : เรียนหุ้นฟรีกับลงทุนศาสตร์
เอกสารอ้างอิง
Grab faces $2bn payout to Uber if no IPO by 2023 : /asia.nikkei.com
Grab CEO says the company can go public ‘once we’re profitable’ : cnbc.com
GrabTaxi’s journey to a billion-dollar startup (INFOGRAPHIC) : techinasia.com
Net revenue for GrabTaxi Holdings Pte. Ltd. from 2017 to 2019 : statista.com
“ออร์แกไนซ์ความคิดอย่างไรให้ชนะ” บทเรียนจาก Harvard : krungsri.com
อัพเดทล่าสุดเมื่อ :