สรุปวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ : Subprime Crisis ครั้งหนึ่งทุนนิยมเกือบจะล่มสลายจากโลกไปแล้ว
บ้าน คือ ทรัพย์สินที่ใครต่างก็บอกว่าเป็นการลงทุนที่ดีที่สุดในชีวิต เราอาจเคยได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์ น้อยครั้งนักที่จะได้ยินเรื่องเล่าทำนองว่า “นายสมชายเพิ่งขายตัดขาดทุนบ้านหลังล่าสุดไปเพราะราคาร่วงเกิน 10%” หรือเราอาจไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้ด้วยซ้ำไป เรามักจะได้ยินเพียงว่าซื้อบ้านสิ ราคามันขึ้นทุกปี ไม่ซื้อตอนนี้แล้วจะซื้อตอนไหน
บ้านมักถูกมองเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยเพราะเหตุผลหลายๆ อย่าง ที่ชัดสุดก็คืออย่างน้อยเรายังมีที่ไว้ซุกหัวนอน ตรงข้ามกับหุ้นที่นักลงทุนทำได้เพียงเอาใบหุ้นซับน้ำตาเท่านั้นเวลาหุ้นลงหนัก บ้านจึงกลายเป็นทางเลือกสามัญสำหรับใครก็ตามที่อยากลงทุนกับอะไรสักอย่างเป็นจำนวนเงินมากๆ
แต่ใครที่ยังคิดแบบว่าบ้านเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย เขาอาจต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่เมื่อรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า Subprime Crisis วิกฤตครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ที่ราคาบ้านทำให้ความมั่งคั่งของคนหดหายไปเกือบ 10 ล้านล้านเหรียญ วิกฤตที่เกือบจะทำให้ทุนนิยมหายไปจากโลกใบนี้
ซื้อบ้านสิ
Subprime ไม่ได้เป็นศัพท์เฉพาะที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ มันเป็นคำศัพท์ที่ไว้เรียกกลุ่มสินเชื่อที่มีความเสี่ยงมากกว่าปกติ สมมติว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในปัจจุบันเท่ากับ 5 เปอร์เซ็นต์ ลูกค้าชั้นดีผู้มีประวัติขาวสะอาดย่อมได้ดอกเบี้ยใกล้เคียงกับเรท 5 เปอร์เซ็นต์ นี่คือกลุ่มลูกค้า Prime แต่ถ้าลูกค้าคนไหนมีประวัติที่ไม่ดี ชอบรำดาบเวลาต้องจ่ายหนี้ ก็จะโดนคิดดอกเบี้ยแพงหน่อยเพื่อชดเชยกับความเสี่ยงที่มากขึ้น นี่คือกลุ่มลูกค้า Subprime
ย้อนไปช่วงปี 2000 อัตราดอกเบี้ยของเฟด (ธนาคารกลางสหรัฐ) ซึ่งถูกใช้อ้างอิงกับธนาคารทั่วประเทศอยู่ในระดับราวๆ 2 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าไม่สูงนัก ดอกเบี้ยที่ต่ำนี้เองที่ดึงดูดให้กลุ่มลูกค้าแบบ Subprime เข้ามาขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านมากขึ้น เพราะช่วงนั้นรัฐบาลเองกำลังกระตุ้นเศรษฐกิจและสนับสนุนให้คนมีบ้านเช่นกัน ทั้งลูกค้า Prime และ Subprime ต่างก็แฮปปี้ที่ได้ซื้อบ้านในฝัน
แต่สถาบันการเงินอาจไม่แฮปปี้นักเพราะต้องปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงให้กับกลุ่มลูกค้า Subprime ไม่มีใครชอบลูกหนี้ที่พกดาบพร้อมชักตลอดเวลา ดังนั้นสถาบันการเงินทั้งหลายแหล่จึงใช้ประโยชน์จากเครื่องมือที่เรียกว่า MBS (Mortgage-backed Securities) ความหมายง่ายๆ ก็คือ เอาสินเชื่อของกลุ่มลูกค้าเหล่านี้มารวมกันแล้วขายต่อให้คนอื่นเพื่อถ่ายความเสี่ยง
ใครกันเล่าจะฉลาดขนาดนี้ถ้าไม่ใช่นายธนาคาร แต่ความปราดเปรื่องของนักการเงินในวอลสตรีทยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะพวกเขายังใช้ตราสารอนุพันธ์สุดซับซ้อนเพื่อป้องกันความเสี่ยงของ MBS อีกตัวหนึ่งที่เรียกว่า CDS (Credit Default Swap) หรือแปลเป็นไทยว่า “ไม่ต้องห่วง ถ้า MBS โดนชักดาบ ผมจะจ่ายดอกเบี้ยที่เหลือให้คุณเอง” เจ๋งเป้งอะไรขนาดนี้ ลงทุนแล้วยังมีคนมารับประกันผลตอบแทนให้อีก
บ้านติดจรวด
งานนี้ทั้งคนกู้ คนปล่อยกู้ คนที่เอาสินเชื่อมายำรวมกัน และคนที่รับประกันสินเชื่อเหล่านั้น ต่างก็มีข้อตกลงที่แฮปปี้กันทุกฝ่าย ด้วยเหตุนี้การปล่อยสินเชื่อจึงเพิ่มขึ้น คนก็เอาเงินไปซื้อบ้านมากขึ้น และเมื่อความต้องการซื้อบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ ราคาบ้านก็พุ่งสูง ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อสถาบันการเงินเข้าไปใหญ่ เพราะต่อให้ผู้ซื้อบ้านเบี้ยวหนี้จริง ก็เอาบ้านไปขาย เรื่องง่ายๆ ที่เด็กประถมก็ทำได้ ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวล
ถ้าตัวแปรทุกอย่างในสมการยังเป็นค่าคงที่ (คำพูดที่นักเศรษฐศาสตร์ชอบใช้กัน) ทุกคนก็จะมีความสุขต่อไปท่ามกลางกองเงินกองทองที่เพิ่มพูนดั่งใจนึก สินเชื่อ Subprime อาจมีความเสี่ยง แต่จะมีคนผิดนำชำระหนี้บ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะ MBS ที่เกิดจากการนำสินเชื่อมารวมๆ กันมันก็เหมือนการกระจายความเสี่ยงไปในตัวอยู่แล้ว แถมมี CDS เป็นตัวประกันความเสี่ยงอีกต่อหนึ่งด้วย ช่างเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยแน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง
แต่อะไรจะเกิดขึ้นถ้าทุกคนไม่มีเงินจ่ายค่าบ้านอีกต่อไป ?
ขึ้นดอกเบี้ย
แค่ฟังดูก็รู้แล้วว่ามันเกิดขึ้นยากมาก คงไม่มีทางที่ลูกหนี้ผู้น่ารักจะหยุดการจ่ายหนี้พร้อมๆ กัน แถมราคาบ้านขึ้นติดจรวดขนาดนี้ใครจะไปหยุดจ่าย ? ตรงนี้เองที่มีประเด็น เพราะในขณะที่ราคาบ้านกำลังทำให้ทุกคนมีความสุข อัตราเงินเฟ้อก็เติบโตขึ้นเป็นเงาตามตัวเนื่องจากมีการปล่อยเงินกู้กันอย่างสนุกสนาน เงินเฟ้อที่สูงเกินไปย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ ดังนั้นเฟดจึงต้องแตะเบรกเศรษฐกิจเสียหน่อยด้วยการขึ้นดอกเบี้ย
เมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้น เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายย่อมไม่อยากที่จะกู้เงินเพิ่มอีกเพราะดอกเบี้ยมันสูงกว่าเดิม จุดนี้เองที่การซื้อบ้านเริ่มชะลอตัวลงรอบแรก ด้วยอัตราดอกเบี้ยจาก 2.25 เปอร์เซ็นต์ในปี 2004 มาอยู่ที่ 5.25 เปอร์เซ็นต์ในปี 2006 เมื่อคนไม่อยากซื้อบ้าน ราคามันก็ร่วง
และเมื่อดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น เหล่าลูกหนี้สินเชื่อ Subprime ทั้งหลายก็เริ่มจ่ายหนี้กันไม่ไหว ดาบที่เก็บมานานก็ถูกชักขึ้นมาส่องแสงแวววับ ไม่มีใครอยากเป็นเจ้าของบ้านอีกต่อไป ราคามันก็ร่วงหนักเข้าไปใหญ่ ธนาคารอาจยึดบ้านคืนมาได้ แต่จะขายใครกันเล่าเพราะตอนนี้ไม่มีใครอยากได้บ้านอีกต่อไปแล้ว
ยิ่งดอกเบี้ยสูง คนก็ยิ่งไม่ซื้อบ้าน คนก็เบี้ยวหนี้ ราคาก็ยิ่งตก เมื่อราคาบ้านตก ก็คนยิ่งไม่อยากได้บ้านและขยันเบี้ยวหนี้กันเข้าไปใหญ่ สินทรัพย์ MBS และตัวประกัน CDS ที่ว่าปลอดภัยแน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง งานนี้กลายเป็นแป้งฝุ่นที่ปลิวไปตามลม เนื่องจากทั้งคนซื้อและคนขาย MBS ต่างก็เดือดร้อนจากการเบี้ยวหนี้ ผู้ขาย CDS ก็เดือดร้อนไม่แพ้กัน ใครจะไปคิดว่าคนทั้งประเทศจะชักดาบเป็นหมู่คณะ
ในที่สุด สถาบันการเงินผู้ชาญฉลาดก็ได้รับผลกระทบ หนักที่สุดก็คือ Lehman Brothers วาณิชธนกิจชื่อดังอายุนับร้อยปี ต้องประกาศล้มละลายเพราะผลจากการกระทำของตัวเองที่เข้าไปร่วมสนุกกับสินเชื่อ Subprime มากกว่าคนอื่น และโชคร้ายที่ Lehman Brothers จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้น การล้มลงของหุ้นที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 60,000 ล้านเหรียญ ย่อมส่งแรงสั่นสะเทือนต่อตลาดทั่วทั้งวอลสตรีท
ราคาหุ้นที่ร่วงไปมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ในเดือนกันยายนปี 2008 จึงเป็นชนวนเหตุให้ตลาดหุ้นพังพินาศดอกแรก ก่อนจะพังพินาศในดอกที่สอง สาม สี่ เพราะสถาบันการเงินอื่นๆ ก็เข้าไปร่วมสนุกกับ Subprime ไม่แพ้ Lehman Brothers เลย หุ้นสายธุรกิจการเงินตัวอื่นก็ร่วงไม่เป็นท่า ดัชนีดาวโจนส์ร่วงไปเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ และตลาดหุ้นทั่วโลกต่างก็ปั่นป่วน
Subprime Crisis ฟองสบู่แตกครั้งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ
วิกฤตในทั้งนั้นถือเป็นวิกฤตที่รุนแรงมาก เพราะธนาคารพาณิชย์ทั่วโลกต่างก็มีความพัวพันกับหนี้เสียก้อนโตนี่ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม อย่างธนาคารไทย หรือ องค์กรของไทย หลายองค์กรก็ถือ MBS อยู่ด้วย ฟองสบู่แตกรอบนี้ไม่ได้พังแค่สหรัฐอเมริกา เพราะวิกฤตครั้งนี้เกี่ยวพันกันทั่วโลก ถ้าธนาคารแต่ละประเทศล้มกันละแห่งสองแห่งพร้อมๆ กัน ย่อมกลายเป็นหายนะแน่ ปราศจากธนาคารก็ปราศจากทุนนิยม มนุษยชาติอาจจะได้กลับเข้าสู่ยุคกสิกรรมอีกครั้งก็เป็นได้ วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เป็นวิกฤตที่ทำลายความศรัทธาในระบบทุนนิยมสูงที่สุด จนเกิดกระแสความคิดหลายๆ ว่า ทุนนิยมดีจริงไหม หรือ เราควรจะมีกฎระเบียบการควบคุมทุนนิยมให้รัดกุมมากกว่านี้หรือเปล่า
QE ช่วยชีวิต
วิกฤตครั้งนี้เองที่ทำให้พวกเราได้รู้จักกับนวัตกรรมที่เรียกว่า QE เป็นครั้งแรก ช่วงเวลานั้นสถาบันการเงินต่างก็เงินหมดเพราะเอาไปถลุงกับตราสารประหลาดๆ ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ธนาคารกลางสหรัฐจึงเข้ามาช่วยเหลือด้วย QE หรือการพิมพ์เงินอัดฉีดเข้าไปในระบบอีกครั้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
อ่านไม่ผิด พิมพ์เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่างเป็นการแก้ปัญหาราวกับกำปั้นทุบดินเสียเหลือเกิน แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ตลาดหุ้นพลิกฟื้นกลับมาได้ในเวลา 2-3 ปี และเศรษฐกิจสหรัฐที่ค่อยๆ กลับมาอย่างช้าๆ และแน่นอน สถาบันการเงินที่เคยซุกซนก็ยังอยู่ดีมีสุขเพราะรัฐบาลเข้ามาอุ้มไว้นั่นเอง
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ เราอาจรู้สึกว่าช่างไม่เป็นธรรมที่ Lehman Brothers ถูกปล่อยให้ล้ม ในขณะที่สถาบันการเงินอื่นๆ ที่ทำตัวซุกซนไม่แพ้กันกลับได้รับการช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ความน่าสนใจอีกประการคือเรื่องของวิกฤตดังกล่าวที่เกิดขึ้น เพราะไม่น่าเชื่อว่า “บ้าน” ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุด กลับเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้สถาบันการเงินอายุนับร้อยปีล้มได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว วิกฤตที่ทำให้ความมั่งคั่งของคนอเมริกันหายไปเกือบ 10 ล้านล้านเหรียญ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่มีอะไรแน่นอนคือความแน่นอน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ทำอะไรที่ก่อวิกฤต แต่คนอื่นก็อาจจะทำเรื่องให้เกิดวิกฤตก็ได้ สุดท้าย เราก็หนีวิกฤตไม่พ้นอยู่ดี
ลงทุนศาสตร์ – Investerest
ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , OFFICIAL LINE และ WEBSITE
พิเศษ! เข้ากลุ่มเรียนหุ้นออนไลน์ฟรีกับลงทุนศาสตร์แบบไม่มีเงื่อนไขได้ที่ : เรียนหุ้นฟรีกับลงทุนศาสตร์
เอกสารอ้างอิง
What Was the Subprime Mortgage Crisis and How Did it Happen? : thestreet.com
Subprime Mortgage Crisis, Its Timeline and Effect : thebalance.com
What Caused the Subprime Mortgage Crisis? : thebalance.com
The Collapse of Lehman Brothers: A Case Study : investopedia.com
A guide to the financial crisis — 10 years later : washingtonpost.com
Why Housing Market Bubbles Pop : investopedia.com
อัพเดทล่าสุดเมื่อ :