การลงทุน

Bitcoin กำลังท้าทายอำนาจรัฐ

สกุลเงินดิจิตัลมีจุดเด่นเรื่องความตรวจสอบยาก

.

Bitcoin ถือเป็นสกุลเงินดิจิตัลหรือ Cryptocurrency สกุลหนึ่ง ซึ่งสกุลเงินประเภทนี้มีจุดเด่นคือความไม่ขึ้นตรงต่ออำนาจรัฐ โดยใช้ระบบ decentralization และให้คอมพิวเตอร์จำนวนมากช่วยในการตรวจสอบความโปร่งใสของธุรกรรมซึ่งกันและกัน โดยคอมพิวเตอร์ที่เข้าร่วมในการตรวจสอบจะได้รับผลตอบแทนเป็น Bitcoin ใหม่หรือที่เรียกว่าการทำเหมืองหรือ mining ดังนั้น ความสำคัญของ Bitcoin คือการไม่ขึ้นตรงต่ออำนาจรัฐ อำนาจธนาคารกลาง หรืออำนาจธนาคารพาณิชย์ใด

.

สกุลเงินประเภทนี้จึงมี Demand ใน Gray Money

.

แน่นอนว่าความไม่โปร่งใสที่เป็นจุดเด่นของ Bitcoin ย่อมเป็นที่ต้องการของเงินสีเทาทั้งหลายที่ไม่ต้องการเปิดเผยที่มาที่ไปของเงินมากนัก อย่างในวันที่ 30 มกราคม 2017 ที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ที่แฮกเกอร์ใช้ซอฟแวร์ปิดระบบคีย์การ์ดของโรงแรม Seehotel Jaegerwirt ที่ประเทศออสเตรีย ซึ่งแฮกเกอร์ก็เรียกค่าไถ่เป็นสกุลเงิน Bitcoin เพื่อป้องกันการติดตามของรัฐ หากโจรเรียกเงินเป็นสกุลหลักซึ่งต้องโอนผ่านธนาคาร ตำรวจอาจติดตามช่องทางการโอนเงินผ่านธนาคารพาณิชย์ได้ แต่พอเป็น Bitcoin ตำรวจก็ยากที่จะสาวไปให้เจอถึงต้นตอ

.

แล้ว Bitcoin กำลังท้าทายอำนาจรัฐอย่างไร?

.

กรมสรรพากรของสหรัฐอเมริกาไม่นับ Bitcoin เป็นสกุลเงิน (Currency) แต่นับเป็นสินทรัพย์ (Asset) ดังนั้น ทุกครั้งที่ประชาชนใช้เงินดิจิตัลซื้อขายสินค้าบริการอะไรก็ตาม กรมสรรพากรจะไม่นับว่าเป็นการแลกเปลี่ยนผ่านสกุลเงิน แต่จะถือว่าเป็นการซื้อขายสินทรัพย์ 2 ทอด

.

ยกตัวอย่างเช่น หากเราต้องการซื้อบ้านราคา 1 ล้านบาท ผ่านสกุลเงินเหรียญสหรัฐ กรมสรรพากรจะตีความว่าเป็นการซื้อสินทรัพย์ ผู้ซื้อไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพราะถือว่าไม่ได้เกิดรายได้

.

แต่ถ้าหากเราต้องการซื้อเป็นเงิน Bitcoin รัฐจะตีความว่าทันทีที่เราขาย Bitcoin ไปถือเงินเพื่อนำเงินไปซื้อบ้านราคา 1 ล้านบาทอีกทอดหนึ่ง เราจะเกิดรายได้จากการขายสินทรัพย์ หรือกำไรจากการขาย Bitcoin นั่นเอง ถึงแม้ว่าจะแลกเปลี่ยนผ่าน Bitcoin โดยตรง แต่รัฐก็ไม่ยอมรับ Bitcoin เป็นสกุลเงิน ดังนั้น ผู้ซื้อขาย Bitcoin ต้องยื่นเสียภาษีในทุกกรณีที่มีกำไร

.

แต่จากข้อมูลของกรมสรรพากร ประเทศสหรัฐอเมริกา มีผู้ยื่นเสียภาษีจากการซื้อขาย Bitcoin เพียง 802 ธุรกรรมในปี 2015 ในขณะที่ปี 2015 ยอดการทำธุรกรรมซื้อขาย Bitcoin สูงถึงประมาณ 115,000 ครั้งต่อวัน หรือเทียบเท่ากับประมาณ 42 ล้านครั้งตลอดทั้งปี

.

หรือแปลง่ายๆ ว่ามีคนยื่นเสียภาษีอย่างถูกต้องเพียง 0.002% เท่านั้น

.

เรื่องดังกล่าวถือว่าผิดปรกติอย่างมาก เพราะสหรัฐอเมริกาถือเป็นประเทศที่เข้มงวดเรื่องการเก็บภาษีมากจนถึงขั้นเกิดคำกล่าวว่า “ในโลกนี้มีเรื่องที่หนีไม่พ้นคือภาษีและความตาย” อัตราการจ่ายภาษีอย่างถูกต้องเพียง 0.002% จึงเป็นการท้าทายระบบรัฐและอำนาจของกรมสรรพากรอยู่ไม่น้อย

.

คำถามคือรัฐก้าวล่วงไปในดินแดนของ Bitcoin ได้ไกลแค่ไหน

.

หากรัฐมีอำนาจตรวจสอบจริง เหตุใดจึงไม่รีบตามเก็บภาษีย้อนหลังที่น่าจะมีปริมาณมากมายมหาศาลกลับเข้ามาสู่ประเทศ หรือความจริงแล้ว รัฐบาลเองก็ไม่สามารถตรวจสอบที่มาที่ไปของเส้นทางการเดินของ Bitcoin ได้เหมือนกัน

.

คำถามต่อมาที่น่าคิดกว่าเดิมคือหากคนทั่วประเทศพร้อมใจกันมาใช้ Bitcoin กันหมด รัฐบาลจะเก็บภาษีได้เหลือสักกี่เปอร์เซ็นต์ของทุกวันนี้ หากธุรกรรมทุกอย่างไม่ผ่านธนาคารพาณิชย์อีกต่อไปแล้ว ประชาชนยังจะยินดีเสียภาษี 100% เหมือนเดิมอีกหรือไม่ นิติบุคคลบริษัทห้างร้านยังจะหักภาษีมูลค่าเพิ่มส่งกรมสรรพากรอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนเดิมหรือไม่ และจะมีเงินสีเทาจำนวนมากอีกเท่าไหร่ที่ถูกซื้อขายเปลี่ยนมือกันโดยไม่ผ่านกรมสรรพากร

.

หากรัฐเก็บภาษีได้น้อยลง รัฐบาลจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

.

สกุลเงินดิจิตัลอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่การท้าทายอำนาจของรัฐบาลและระบบการเงินโลกครั้งใหญ่ ซึ่งอาจจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้น แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากในการติดตาม

.

ลงทุนศาสตร์ – Investerest

อัพเดทล่าสุดเมื่อ :

เกี่ยวกับผู้เขียน

ลงทุนศาสตร์

ผมเขียนบทความเกี่ยวกับการลงทุนตั้งแต่เบื้องต้น เหมาะสำหรับผู้ลงทุนหรือผู้ที่มีความสนใจที่จะลงทุนที่รักหรือมีทีท่าว่าจะรักในศาสตร์ของการลงทุนเหมือนกัน