เงินสด (cash) ในทางบัญชีหมายถึงเงินสดและเงินฝากธนาคารทุกประเภทที่ไม่ติดภาระผูกพัน โดยเงินสดจะถูกบันทึกไว้ในงบแสดงฐานะการเงิน (งบดุล) ในฝั่งของสินทรัพย์ ซึ่งมักจะบันทึกอยู่เป็นรายการแรกในงบเพราะมีสภาพคล่องสูงสุด นอกจากนี้ เงินสดยังสามารถดูได้ในงบกระแสเงินสดซึ่งบอกถึงเงินสดต้นงวด เงินสดปลายงวด และการเคลื่อนไหวของกระแสเงินสดระหว่างงวดอีกด้วย การตีความเงินสดในงบการเงิน จึงเป็นเรื่องสำคัญ
การตีความเงินสดในงบการเงิน มองได้ 5 ด้านหลัก
เวลาอ่านหนังสือตีความงบการเงินเพื่อการลงทุน เรามักจะมองเงินสดเป็นสินทรัพย์ที่ดี โดยหนังสือมักระบุไว้เพียงสั้นๆ ว่าเงินสดคือดี ยิ่งมากยิ่งดี แต่ก็มักไม่ได้ให้คำอธิบายไว้โดยละเอียดว่าเวลานักลงทุนคนหนึ่งจะมองเงินสดในงบการเงิน นักลงทุนจะวิเคราะห์อะไรได้บ้าง วันนี้ลงทุนศาสตร์จึงรวบรวมมุมมองการตีความเงินสดในงบแสดงฐานะการเงินเพื่อเป็นประโยชน์ที่ใช้ในการตีความงบการเงินต่อไป
1 เงินสดคือสภาพคล่อง
เงินสดถือเป็นสินทรัพย์พื้นฐานที่ใช้ในการชำระหนี้ เพราะโดยทั่วไป เงินสดสามารถนำไปชำระหนี้ได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องแปลงสภาพก่อน ไม่เหมือนสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น ลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ ที่อาจจะมีปัญหาเรื่องการแปลงสภาพมาเกี่ยวข้อง ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องมองเงินสดคือความสามารถในการนำไปชำระหนี้ เวลานักลงทุนวิเคราะห์จึงต้องมองก่อนว่าเงินสดของบริษัทเหมาะสมเพียงพอต่อการชำระหนี้หรือไม่ หากเงินสดของบริษัทมีน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับภาระดอกเบี้ยจ่าย แบบนี้บริษัทอาจเจอผลกระทบเรื่องสภาพคล่องในอนาคต
2 เงินสดคือเงินทุนหมุนเวียน
เงินสดนอกจากใช้เป็นสภาพคล่องในการชำระหนี้แล้วยังใช้เป็นสภาพคล่องในการขยายธุรกิจด้วย เพราะธุรกิจโดยทั่วไปจำเป็นต้องใช้เงินสดในการไปลงทุนผลิตสินค้าและบริการก่อนกว่าจะได้เงินสดในการขายมาชดเชย ดังนั้นจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่กิจการต้องใช้เงินสดถมไปในธุรกิจเพื่อการขยายตัว ดังนั้น ธุรกิจที่ขยายตัวมากต้องอาศัยเงินสดมากเพื่อหมุนเวียนธุรกิจ หากธุรกิจตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายเยอะๆ และมีวงจรเงินสดเป็นบวก แต่โครงสร้างสินทรัพย์ระยะสั้นไม่แข็งแรงพอคือเงินสดขาดแคลน สุดท้าย กิจการอาจขยายกิจการไม่ได้ตามเป้า หรืออาจต้องหาเงินทุนทางอื่น เช่นการกู้หนี้ หรือการเพิ่มทุน
3 เงินสดคือสินทรัพย์ไร้ผลตอบแทน
เงินสดถือเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำมาก และโดยทั่วไปมักให้ผลตอบแทนต่ำกว่าเงินเฟ้อ นั่นหมายถึงบริษัทที่กำเงินสดไว้ในบริษัทมากๆ จะทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยของกิจการลดต่ำลงทั้งในแง่ ROA และ ROE ดังนั้น ธุรกิจที่มีเงินสดเยอะมากๆ ไม่ใช่ข้อดีเสมอไป เพราะในระยะยาว ROE ของบริษัทจะต่ำลงตามสัดส่วนของเงินสดที่เพิ่มขึ้นหากบริษัทยังหาวิธีการลงทุนใหม่ที่คุ้มค่าไม่ได้ สิ่งที่ดีที่สุดคือหากกิจการไม่ลงทุนแล้วก็ควรจะปันผลออกมาให้ผู้ถือหุ้นไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ไม่ก็ควรจะลงทุนด้วยการซื้อหุ้นคืนเพื่อทำให้มูลค่าต่อหุ้นของกิจการสูงมากขึ้น
4 เงินสดคือโอกาสในการควบรวมกิจการ
เงินสดคือสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทน แต่ทันทีที่นำเงินสดนั้นไปซื้อกิจการอื่น เงินสดนั้นจะกลายเป็นผลตอบแทนทันทีเพราะกำไรของกิจการใหม่จะถูกรวมมาในกิจการเก่าทันที ทำให้กำไรเติบโตอย่างก้าวกระโดด แบบนี้เงินสดก็บ่งชี้ถึงการก้าวกระโดดของกำไรหลังควบรวมกิจการได้ กิจการที่ซื้อกิจการจากเงินสดที่มี แบบนี้จะให้ผลตอบแทนสูงสุด เพราะผลตอบแทนเก่าน้อยมากและได้ผลตอบแทนใหม่ทันที แต่กิจการที่ต้องกู้หนี้ยืมสินหรือเพิ่มทุนไปซื้อกิจการอาจไม่ให้การเติบโตที่ดีนักในระยะสั้น เพราะกำไรใหม่ที่ได้มาต้องถูกชดเชยไปด้วยภาระดอกเบี้ยจ่ายหรืออัตรากำไรต่อหุ้นที่ต่ำลง
5 เงินสดคือสินทรัพย์ที่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินงาน
เงินสดจะเกี่ยวกับการดำเนินงานแค่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ใช้ไปในเงินทุนหมุนเวียน แต่ถ้าบริษัทมีเงินสดมากๆ เงินสดส่วนเกินถือเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินงานหรือ non-operating asset นั่นหมายถึง หากเราประเมินมูลค่าแบบอ้างอิงจากความสามารถในการทำกำไรหรือสร้างกระแสเงินสดเป็นหลัก เราต้องบวกกลับมูลค่าเงินสดตรงนี้กลับไปในมูลค่าหุ้นด้วย ซึ่งบริษัทที่มีเงินสดมาก มูลค่าบวกกลับตรงนี้จะมาก หลายครั้งทำให้มูลค่าเพิ่มสูงขึ้นอีก 30 กว่าเปอร์เซนต์เลยทีเดียว การละเลยการวิเคราะห์เงินสดตรงนี้ก็อาจจะทำให้มองภาพผิดได้
เห็นไหมว่า “เงินสด” เป็นอะไรได้มากกว่าที่คิด
การวิเคราะห์รายการในงบการเงินจึงจำเป็นต้องวิเคราะห์ที่มาและที่ไปของรายการด้วย ไม่ใช่เพียงวิเคราะห์แค่มากหรือน้อยไปตามค่าที่ตั้งไว้ในใจโดยไม่สนใจเหตุผลทางธุรกิจเลย
ธุรกิจต่างกัน เหตุผลก็ต่างกัน ความหมายที่ซ่อนอยู่ในงบก็ต่างออกไปเช่นกัน
ลงทุนศาสตร์ – Investerest
ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , OFFICIAL LINE และ WEBSITE
พิเศษ! เข้ากลุ่มเรียนหุ้นออนไลน์ฟรีกับลงทุนศาสตร์แบบไม่มีเงื่อนไขได้ที่ : เรียนหุ้นฟรีกับลงทุนศาสตร์
อัพเดทล่าสุดเมื่อ :