นโยบายกำแพงภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร

การเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้สหรัฐอเมริกาเกิดความเปลี่ยนแปลงตามนโยบายของผู้นำ หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่ผู้คนทั่วโลกกำลังจับตามองในขณะนี้คือนโยบายกำแพงภาษี ที่ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อผู้คนในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อประเทศคู่ค้าที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐอเมริกาทั้งหมด ในที่นี้ ลงทุนศาสตร์ขอพาท่านผู้อ่านไปสำรวจนโยบายกำแพงภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ และผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจ ดังต่อไปนี้

นโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ หมายถึงการปรับภาษีศุลกากร กล่าวคือ ภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยเก็บภาษีจากบริษัทผู้นำเข้าสินค้า ทรัมป์ได้กำหนดนโยบายที่จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาเพิ่มร้อยละ 25 เนื่องจากปัญหาผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายและการลักลอบขนส่งยาเฟนทานิลเข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มร้อยละ 10 และการพิจารณาเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มกับประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป [1]

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังออกคำสั่งเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าประเภทเหล็กและอลูมิเนียม จากเดิมที่เก็บร้อยละ 10 เพิ่มเป็นร้อยละ 20 ยกเลิกคำสั่งยกเว้นภาษีรวมถึงโควตาสำหรับเม็กซิโก แคนาดา บราซิล และประเทศต่าง ๆ ที่เป็นผู้ส่งออกหลัก [2] ยิ่งไปกว่านั้น ทรัมป์ยังวางแผนที่จะใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ต่อประเทศที่เก็บภาษีจากสหรัฐอเมริกา โดยมีประเทศเป้าหมายเป็นจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหภาพยุโรป แผนการเก็บภาษีตอบโต้มีกำหนดพิจารณาในวันที่ 1 เมษายน 2568 นี้ [3]

จากที่กล่าวมาข้างต้นนี้ จะเห็นได้ว่านโยบายภาษีของทรัมป์ส่งผลกระทบต่อทั้งประเทศคู่ค้าและคู่แข่งของสหรัฐอเมริกาไปทั่วโลก ในความเห็นของ Joseph Stiglitz ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลอมเบีย การเพิ่มอัตราการเก็บภาษีจะทวีคูณความตึงเครียดในสงครามการค้า ก่อให้เกิดทั้งความเครียด ความกลัว และการตอบโต้ระหว่างประเทศอื่นและสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้เจ้าของธุรกิจทั้งหลายปรับลดการลงทุน ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ ลุกลามไปเป็นวิกฤตเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับโลก [4]

นอกจากนี้ นโยบายภาษีของทรัมป์มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน เพราะการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ย่อมนำไปสู่การขึ้นราคาสินค้า กลายเป็นภาระที่ผู้บริโภคต้องแบกรับ [5] ยกตัวอย่างเช่น การขึ้นภาษีศุลกากรกับจีน จะส่งผลให้สินค้าจากจีนที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นรองเท้า ของเล่น เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือชิ้นส่วนสำหรับการผลิต ทุกอย่างล้วนถูกขึ้นราคาอย่างน้อยร้อยละ 10 ตามอัตราภาษีที่ทรัมป์เรียกเก็บจากจีนเพิ่มเติม และส่งผลให้สินค้าในสหรัฐอเมริกาที่นำเข้าชิ้นส่วนจากจีนในการผลิตมีราคาสูงขึ้นอีกด้วย [6]

แม้ว่าจุดประสงค์ของนโยบายภาษีที่เสนอโดยโดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นไปเพื่อเพิ่มรายได้เข้าประเทศจากการเรียกเก็บภาษี ส่งเสริมให้ผู้คนเลือกใช้สินค้าในประเทศ แต่นโยบายภาษีที่ส่งผลต่อประเทศทั่วโลกอาจลุกลามบานปลายกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ตามมาด้วยปัญหาเงินเฟ้อ และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จากนี้ไป เราคงได้แต่คอยจับตาดูผลลัพธ์จากนโยบายภาษีของทรัมป์ และทิศทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาต่อไปในอนาคต

ลงทุนศาสตร์ – Investerest

ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , และ WEBSITE

อ้างอิง
[1] เจเรมี เฮาเวล และโอนูร์ เอเรม. (24 มกราคม 2025). ประเทศใดจะได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์. สืบค้นจาก https://www.bbc.com/thai/articles/c77r1pv15ggo
[2] Holland, S., Lawder, D. and Shalal, A. (February 11, 2025). Trump raises tariffs on aluminum, steel imports in latest trade war salvo. Retrieved from https://www.reuters.com/markets/asian-eu-steelmakers-shares-fall-after-trump-escalates-tariffs-2025-02-10
[3] ฐานเศรษฐกิจ. (14 กุมภาพันธ์ 2568). ทรัมป์ สั่งทีมเศรษฐกิจไล่เก็บภาษีตอบโต้ทีละประเทศ. สืบค้นจาก https://www.thansettakij.com/economy/619549
[4] Greenhouse, S. (January 31, 2025). Why Trump tariffs will be ‘very bad for America and for the world’. Retrieved from https://www.theguardian.com/business/2025/jan/31/trump-tariffs-us-economy
[5] Chu, B. (February 2, 2025). Will Donald Trump’s tariffs hurt US consumers?. Retrieved from https://www.bbc.com/news/articles/c20myx1erl6o
[6] Wamsley, L. (February 5, 2025). Here’s how Trump’s tariffs could impact you and your wallet. Retrieved from https://www.npr.org/2025/02/05/nx-s1-5284991/trump-tariffs-higher-prices-inflation-mexico-canada-china