เศรษฐกิจ

สรุปวิกฤตอุ๋ยร้อยจุด : วันที่ตลาดหุ้นไทยตกหนักที่สุดในประวัติศาสตร์

สรุปวิกฤตอุ๋ยร้อยจุด

สรุปวิกฤตอุ๋ยร้อยจุด : วันที่ตลาดหุ้นไทยตกหนักที่สุดในประวัติศาสตร์

 

เหตุการณ์อุ๋ยร้อยจุด คือวิกฤตสั้นๆ ที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยร่วงไปเกือบ 20% ในวันที่ 19 ธันวาคม 2549

 

คำว่า “อุ๋ย” ไม่ใช่คำอุทาน แต่เป็นชื่อของหม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น ผู้มีส่วนสำคัญที่ทำให้มาตรการกันสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทยถูกนำออกมาใช้งานเพื่อสกัดการเก็งกำไรในค่าเงินบาทที่กำลังแข็งค่า จนทำให้ตลาดหุ้นไทยร่วงไปราวๆ 100 จุดในวันที่ประกาศใช้มาตรการดังกล่าว กลายเป็นที่มาของชื่อ “อุ๋ยร้อยจุด”

 

แต่น่าแปลก ทั้งๆ ที่มาตรการนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสกัดกั้นการเก็งกำไรที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ส่งออกสินค้า เพราะถ้ามาตรการดังกล่าวสามารถหยุดการแข็งค่าของเงินบาทได้ ผู้ส่งออกก็จะขายของได้มากขึ้น กำไรมากขึ้น และตลาดหุ้นก็ “น่าจะ” เพิ่มขึ้นจากผลประกอบการที่ดีของบริษัทผู้ส่งออก

 

แต่ทำไมผลลัพธ์ที่ออกมาถึงกลับตาลปัตรได้ขนาดนี้ ?

 

 

 

หัก 30%

 

หากย้อนไปช่วงก่อนปี 2549 สกุลเงินบาทของเราได้แข็งค่าขึ้นจาก 40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐมาอยู่ที่ราว 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แน่นอนว่าประเทศที่เป็นผู้ส่งออกอย่างเราย่อมไม่ชอบภาวะที่เงินบาทแข็งค่าเกินไปเพราะทำให้ขายของได้ยาก มันควรจะมีอะไรสักอย่างที่ช่วยให้เงินบาทอ่อนตัวได้ อะไรบางอย่างที่แรงพอจนชะลอเงินทุนจากต่างชาติไม่ให้ไหลเข้ามาในประเทศมากเกินไปจนทำให้เงินบาทแข็งโป๊ก

 

หลังจากที่วางแผนกันหลายตลบ ข้อสรุปที่ออกมาจึงเป็นมาตรการกันสำรอง 30% เป็นยาแรงที่ถูกปรุงขึ้นมาเพื่อจัดการกับเงินของการเก็งกำไรโดยเฉพาะ คุณสมบัติของยาตัวนี้ก็คือ มันจะ “หัก” เงินทุน 30% ออกมาจากเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเอาไว้ก่อน แล้วค่อยคืนให้เมื่อต้องการถอนเงินลงทุนในภายหลัง เพื่อไม่ให้มีเงินต่างชาติมาแลกเป็นเงินบาทมากเกินไป

 

ตัวอย่างเช่น มีนักลงทุนคนหนึ่งหอบเงินข้ามน้ำข้ามทะเลมาขึ้นที่ท่าเรือคลองเตยเป็นเงิน 10 ล้านเหรียญเพื่อหวังจะไปซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (ตอนนั้นตลาดหลักทรัพย์ยังตั้งอยู่แถวๆ คลองเตย) ทันทีที่เขาก้าวเท้าลงจากเรือ จะมีชายคนหนึ่งที่มาจากธนาคารแห่งประเทศไทยหักเงินจากนักลงทุนคนนั้น 30% หรือเท่ากับ 3 ล้านเหรียญไปเก็บไว้ที่แบงก์ชาติก่อน แล้วค่อยคืนให้ภายหลังเมื่อกลับมาที่ท่าเรือคลองเตยอีกครั้ง

 

แม้จะตกใจอยู่บ้างที่มีคนแปลกหน้ามาหักเงินออกไปแบบหน้าตาเฉย นักลงทุนคนนั้นอาจใจชื้นเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าจะได้เงินคืนตอนที่เขาหอบเงินกลับบ้าน แต่เมื่อเขาถามถึงเงื่อนไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการนี้ ชายจากแบงก์ชาติก็ได้บอกความจริงที่น่าตกใจกว่า เงิน 30% ที่หักไปจะคืนให้นะ แต่จะคืนให้เต็มจำนวนถ้าลงทุนในไทยเกิน 1 ปี ถ้าเอาเงินกลับประเทศเร็วกว่านั้น จะได้เงินคืนเพียง 2/3 ของเงินจำนวน 30% ที่ฝากไว้ หรือแปลเป็นไทยง่ายๆ ก็คือ เงิน 10 ล้านเหรียญที่พกมาตอนแรก จะได้คืน 9 ล้านเหรียญหากลงทุนในไทยไม่เกิน 1 ปี

 

นี่คือมาตรการกันสำรอง 30%

 

 

 

ถล่มขาย

 

เป็นไปได้สูงทีเดียวว่านักลงทุนคนนั้นอาจรีบขึ้นเรือกลับประเทศแทนที่จะนั่งแท็กซี่ไปซื้อหุ้นที่ตลาดหลักทรัพย์ แต่นี่คือสิ่งทีเกิดขึ้นจริงในวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ทันทีที่ตลาดหลักทรัพย์เปิดทำการเมื่อเข็มสั้นของนาฬิกาชี้ที่เลขสิบ แรงเทขายมหาศาลก็ถล่มยับเสียจนตลาดหุ้นร่วงไปถึง 10% ในเวลา 11 นาฬิกา 29 นาที ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่ตลาดหุ้นติดลบถึง 10% ตลาดหลักทรัพย์จะพักการซื้อขายทั้งตลาดโดยอัตโนมัติเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เพื่อให้นักลงทุนได้ตั้งสติและมีเวลาสูดหายใจเข้าออกช้าๆ การหยุดซื้อขายชั่วคราวนี้เราเรียกว่าเซอร์กิตเบรคเกอร์ (circuit breaker)

 

เมื่อตลาดเปิดให้ซื้อขายอีกครั้งในเวลา 11 นาฬิกา 59 นาที ตลาดหุ้นไทยก็ยังดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง การสูดหายใจเข้าออกช้าๆ เหมือนจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ จนดัชนี SET Index ร่วงไปทำจุดต่ำสุดที่ 587.92 จุด หรือลดลง 19.52% ทำให้เกือบต้องใช้เซอร์กิตเบรคเกอร์รอบที่สอง สุดท้ายตลาดหลักทรัพย์ก็สามารถอยู่รอดได้จนถึงสิ้นวัน โดยปิดที่ 622.14 จุด คิดเป็นการลดลงเกือบ 15% พร้อมกับมูลค่าของตลาดหุ้นไทยที่หายไปกว่า 8 แสนล้าน

 

เพราะทุกคนต่างกลัวว่าจะมาชายแปลกหน้ามาเองเงินของเขาหรือเธอออกไป 30% แบบหน้าตาเฉยนั่นเอง

 

หลังตลาดปิดซื้อขาย ทั้งนักลงทุน นักธุรกิจ แม้แต่โบรกเกอร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างมีแต่คนขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยคิดทบทวนมาตรการที่ออกมาให้ดีอีกนิด เพราะผลลัพธ์ที่เห็นมันชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่มีใครที่อยากโดนหักเงินออกไปแถมยังมีเงื่อนไขมากมายเสียอีก กระทั่งเวลา 20 นาฬิกาของวันเดียวกัน แบงก์ชาติก็ได้ประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ตลาดหุ้นที่เปิดทำการซื้อขายในวันรุ่งขึ้นก็พุ่งตัวขึ้นอย่างแรงตอบรับข่าวยกเลิกมาตรการสุดหรรษานี้ เป็นการปิดฉากเหตุการณ์อุ๋ยร้อยจุดโดยสมบูรณ์ (ส่วนเงินบาทที่แข็งค่าก็ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจเราย่ำแย่เหมือนที่กังวลกันแต่อย่างใด)

 

ตลาดหุ้นยังคงมีเรื่องแปลกๆ ให้เราตกใจอยู่เสมอ

 

ป.ล. การใช้ชื่อเรียกว่า อุ๋ยร้อยจุด ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นหรือไม่ให้เกียรติบุคคลแต่อย่างใด เพียงแต่คำว่า อุ๋ยร้อยจุด ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย ทางลงทุนศาสตร์ประเมินว่า การใช้ชื่อเล่นประกอบกับชื่อเหตุการณ์ไม่ได้ส่อไปทางเสียหาย ลงทุนศาสตร์จึงเขียนบทความนี้ขึ้นเพื่อเก็บความรู้เชิงประวัติศาสตร์ไว้ สำหรับผู้ที่สงสัย และอยากหาความรู้เพิ่มเติมในภายหลัง

 

ลงทุนศาสตร์ – Investerest

ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , OFFICIAL LINE และ WEBSITE

 

พิเศษ! เข้ากลุ่มเรียนหุ้นออนไลน์ฟรีกับลงทุนศาสตร์แบบไม่มีเงื่อนไขได้ที่ : เรียนหุ้นฟรีกับลงทุนศาสตร์

 

เอกสารอ้างอิง
ย้อนประวัติเหตุการณ์ “แบงก์ชาติร้อยจุด” ปี 2549 : thailandinvestmentforum.com
“อุ๋ย” เตรียมประเมินความเสียหายในตลาดหุ้น : mgronline.com
มีอะไร ใน 1 วัน กับมาตรการป้องกันการเก็งกำไรเงินบาท : อุ๋ยกลับใจ หลังหุ้นร่วงระนาว : prachatai.com

อัพเดทล่าสุดเมื่อ :

เกี่ยวกับผู้เขียน

ลงทุนศาสตร์

ผมเขียนบทความเกี่ยวกับการลงทุนตั้งแต่เบื้องต้น เหมาะสำหรับผู้ลงทุนหรือผู้ที่มีความสนใจที่จะลงทุนที่รักหรือมีทีท่าว่าจะรักในศาสตร์ของการลงทุนเหมือนกัน