ชิมช้อปใช้ คือ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่จากรัฐบาล โดยรัฐบาลมีเงื่อนไข คือ จะแจกเงินให้ผู้เข้าร่วมโครงการจำนวน 10 ล้านคน คนละ 1,000 บาท เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในกิจการที่ลงทะเบียนไว้กับรัฐ นอกจากนี้ รัฐยังมีเงินคืนให้สำหรับผู้ใช้จ่ายเกินยอด 1,000 บาท โดยจะมอบเงินคืน 15% ให้สำหรับการใช้จ่ายสูงสุด 30,000 บาท คิดเป็นจำนวนเงินคืนสูงสุด 4,500 บาท
รัฐบาลออกมาตรการ ชิมช้อปใช้ ทำไม?
เหตุผลหลักน่าจะเป็นเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากโครงการชิมช้อปใช้ จะช่วยกระตุ้นปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ โดยเฉพาะภาคบริโภคในประเทศโดยตรง จุดสำคัญ คือ เงินที่รัฐใส่ลงไปในระบบจะต้องถูกนำไปใช้ภายในช่วงเวลาที่กำหนด เม็ดเงินนี้คาดว่าจะไปกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะร้านค้าจำนวนมากที่ลงทะเบียนไว้กับรัฐ สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค สร้างความเชื่อมั่นให้ภาคธุรกิจ สร้างเม็ดเงินที่ไหลเวียนในเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ
ใครคือผู้ได้ประโยชน์จากโครงการชิมช้อปใช้
ร้านที่ลงทะเบียนรับชำระเงินจากรายการชิมช้อปใช้ส่วนใหญ่จะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ร้านอาหาร (ชิม) ร้านค้าปลีก (ช้อป) และ โรงแรม รวมไปถึงสถานบริการอื่น (ใช้) หากมองเบื้องต้น ผู้ได้รับประโยชน์น่าจะเป็น 3 กลุ่มนี้เป็นหลัก เนื่องจากรายได้จะถูกกระตุ้นจากโครงการ แต่ประเด็นสำคัญ คือ รัฐบาลอนุญาตให้ 1 บริษัท สามารถมีจุดรับชำระได้เพียง 20 จุดเท่านั้น หมายความว่า ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ที่มีเครือข่ายสาขาจำนวนมาก จะไม่สามารถเปิดรับโครงการชิมช้อปใช้ได้ทุกสาขา ตรงนี้ก็เป็นประเด็นสำคัญที่รัฐอยากจะกระจายรายได้ให้มากกลุ่มที่สุด
ผู้ประโยชน์ที่น่าสนใจ คือ ผู้ค้าสินค้าอุปโภคบริโภค
เนื่องจากหน้าร้านค้าที่ถูกจำกัดไว้ด้วยจำนวนเครื่องรับชำระ ทำให้ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ดูจะได้รายได้จากโครงการนี้อย่างจำกัด ถึงแม้ว่าจะเปิดรับในสาขาที่รับคนได้มาก แต่ด้วยจำนวนเครื่องที่รับได้จำกัด คนส่วนใหญ่ก็มักจะทิ้งของเพราะขี้เกียจรอ บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคจึงน่าสนใจกว่า เพราะไม่ได้ผูกติดกับจำนวนเครื่อง แต่รายได้ผันแปรไปตามสินค้า นั่นหมายถึง หากเป็นสินค้าที่คนส่วนใหญ่คิดจะซื้อ บริษัทก็ได้ประโยชน์เสมอ ไม่ว่าจะขายผ่านเครื่องรับชำระใดก็ตาม
หุ้นใดในตลาดหุ้นที่น่าจะได้ประโยชน์
จากการนั่งตามดูภาพของในตะกร้าที่คนส่วนใหญ่นิยมซื้อในภาพข่าวชิมช้อปใช้แล้ว สินค้าหลักที่เด่นที่สุด คือ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคราคาไม่แพง เช่น ยาสระผม ขนม น้ำมันพืช อาหารแห้ง หุ้นกลุ่มสินค้าพวกนี้ที่พอจะมีอยู่ในตลาดหุ้นไทย และดูโดดเด่นตรงกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ CPF (อาหารสด) , BJC (สินค้าอุปโภคบริโภค) , TFMAMA (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) , OSP (เครื่องดื่ม) , CBG (เครื่องดื่ม) , VPO (น้ำมันพืช) , UPOIC (น้ำมันพืช) , MBK (ข้าว) , KASET (วุ้นเส้น) เป็นต้น
น่าเสียดายที่หุ้นสินค้าอุปโภคบริโภคส่วนใหญ่ เช่น สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน ที่ประชาชนส่วนใหญ่นิยมซื้อมักเป็นบริษัทข้ามชาติ ไม่อย่างนั้น เราคงได้เห็นเม็ดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจไทยมากกว่านี้
ลงทุนศาสตร์ – Investerest
ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , OFFICIAL LINE และ WEBSITE
พิเศษ! เข้ากลุ่มเรียนหุ้นออนไลน์ฟรีกับลงทุนศาสตร์แบบไม่มีเงื่อนไขได้ที่ : เรียนหุ้นฟรีกับลงทุนศาสตร์
อัพเดทล่าสุดเมื่อ :