จุดกำเนิด Credit Card บัตรใบเล็กที่ไม่เล็ก

“ระบบเครดิต” นั้นมีมายาวนานมาก โดยย้อนกลับไปถึงการทำธุรกรรมครั้งแรก ซึ่งนับว่าเป็นรากฐานสำหรับระบบบัตรเครดิตสมัยใหม่ของเรา เกิดขึ้นเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว เมื่ออารยธรรมโบราณของเมโสโปเตเมียมีการใช้แผ่นดินเหนียวบันทึกการทำธุรกรรม เพื่อค้าขายกับพ่อค้าใกล้เคียงจากอารยธรรม Harappan ที่แสดงถึงการทำข้อตกลงระหว่างกัน ในการซื้อของบางอย่าง แต่ให้มีการจ่ายเงินในภายหลังได้

หลายพันปีต่อมาในช่วงต้นทศวรรษ 1800 พ่อค้าชาวอเมริกันในเขต Old West มีการนำระบบเหรียญและป้ายเครดิต โดยทำจากโลหะชิ้นเล็ก ๆ ออกให้กับเกษตรกรและเจ้าของฟาร์มที่นำสินค้าไปก่อน เพื่อให้เครดิตแก่เพวกเขา จนกว่าพืชผลของพวกเขาจะถูกเก็บเกี่ยวในฤดูกาลนั้น ๆ

ส่วนแนวคิดของระบบบัตรเครดิตสมัยใหม่ จริง ๆ เริ่มต้นในช่วงปี ค.ศ. 1914 เมื่อ Western Union ได้เปิดตัว “Metal Money” ซึ่งเป็นหนึ่งในบัตรเครดิตประเภทแรก ๆ โดยผลิตขึ้นมา เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถเลื่อนการชำระเงินได้ แต่ “Metal Money” นี้ มีข้อจำกัดอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับบัตรอื่น ๆ ในปัจจุบัน เพราะสามารถใช้ในธุรกรรมบางอย่างเท่านั้น เช่นชำระค่าสินเชื่อรถยนต์ และค่าจำนอง เป็นต้น ไม่กี่ปีต่อมา ในช่วงปี ค.ศ. 1920 บริษัทน้ำมันและโรงแรมต่าง ๆ ยังได้ออกบัตรเครดิตในรูปแบบของตนเอง ซึ่งลูกค้าสามารถใช้ซื้อสินค้า และบริการในสถานที่ของบริษัทเหล่านั้นได้

บัตรเครดิตสากลใบแรก ซึ่งสามารถใช้ได้ในสถานประกอบการต่าง ๆ คือบัตร “Diner’s Club” โดยมีจุดเริ่มต้นมาจาก Frank McNamara โดยในวันหนึ่ง McNamara กำลังรับประทานอาหารที่ร้าน Major’s Cabin Grill ในนิวยอร์กซิตี้ เมื่อถึงเวลาจ่ายเงิน เขาก็พบว่าเขาลืมกระเป๋าเงินไว้ที่บ้าน McNamara จึงทำการเซ็นสัญญากับทางร้าน ว่าจะกลับมาจ่ายบิลในวันรุ่งขึ้นแทน เหตุการณ์นี้ทำให้ McNamara มีแนวคิดเกี่ยวกับการใช้ระบบบัตรเครดิต เขาและหุ้นส่วนทางธุรกิจอย่าง Ralph Schneider จึงร่วมกันก่อตั้ง The Diner’s Club (ไดเนอร์สคลับ) ขึ้นมาในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1950 และทำการออกบัตร “Diner’s Club”

ซึ่งเป็นบัตรกระดาษแข็งธรรมดา ๆ สำหรับใช้ได้ในร้านอาหารที่เข้าร่วมกว่า 27 แห่ง โดยลูกค้าจะใช้บัตรใบนี้เรียกเก็บเงินค่าอาหาร จากนั้น ร้านอาหารจะส่งใบเรียกเก็บเงินไปยังไดเนอร์สคลับ ในขณะเดียวกันที่ทางไดเนอร์คลับก็จะทำการชำระเงินโดยตรง ไปยังธนาคารของร้านอาหาร โดยคิดค่าคอมมิชชันเล็กน้อยสำหรับการทำธุรกรรม ส่วนผู้ถือบัตรก็จะชำระค่าบริการเต็มจำนวน ให้กับไดเนอร์สคลับในแต่ละเดือน

เริ่มแรกของการก่อตั้ง The Diner’s Club มีจำนวนสมาชิกประมาณ 200 คน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วต่างก็เป็นเพื่อนและคนรู้จักของ Schneider และ McNamara แต่ด้วยระยะเวลาภายในสองปี จำนวนสมาชิกได้มีการเพิ่มขึ้นเป็น 42,000 ราย ทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา จากความนิยมนี้ทำให้บัตรเครดิต Diner’s Club สามารถขยายฐานผู้ให้บริการไปในต่างประเทศเป็นรายแรก โดยสามารถใช้ได้ทั้งในสหราชอาณาจักร คิวบา แคนาดา และเม็กซิโก

หลังจากที่บัตร Diner’s Club ปรากฏขึ้น ธนาคารต่าง ๆ ก็กระโดดเข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ ด้วยการพลิกโฉมบัตรเครดิตให้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยเป็นการเปลี่ยนนวัตกรรมทางการเงินผ่านการให้สินเชื่อนั่นเอง

Bank of America เป็นธนาคารแห่งแรก ที่ออกบัตรเครดิตแบบให้ผู้ใช้สามารถถือยอดคงเหลือในบัตรเครดิตได้ในแต่ละเดือน โดยเปิดตัวบัตรในปี 1958 ที่เรียกว่า BankAmericard ถือเป็นบัตรเครดิตที่มีวัตถุประสงค์ทั่วไป ในขณะที่บัตรเครดิตก่อนหน้านี้มักออกโดยผู้ค้าปลีกรายใดรายหนึ่งหรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ (เช่น Diners’ Club สำหรับใช้ในร้านอาหาร) ต่อมา BankAmericard กลายเป็นบัตรเครดิตใบแรกของประเทศที่อนุญาตให้มีหนี้หมุนเวียนได้ และหนึ่งทศวรรษต่อมาก็ได้แยกตัวจาก Bank of America จนกลายเป็น Visa ในปัจจุบัน

ยุคหลังมา ธนาคารหลายแห่งเริ่มมีควาร่วมมือระหว่างกัน มีการพัฒนาเปลี่ยนลักษณะของสินเชื่อส่วนบุคคล เนื่องจากปริมาณการใช้บริการทั้งการซื้อสินค้า การรับประทานอาหารตามร้าน ตลอดจนที่พักมีปริมาณการขยายตัวเพิ่มขึ้น เครือข่ายสินเชื่อที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้บุคคลสามารถใช้บัตรเครดิตได้ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ จนในที่สุด ระบบบัตรเครดิตก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลก ปัจจุบันมีบัตรเครดิตหลายร้อยประเภท ทั้งที่ทำจากพลาสติก โลหะ หรือแม้กระทั่งแบบเก็บไว้ในสมาร์ทโฟน และมีตั้งแต่บัตรชาร์จการ์ด บัตรเครดิตแบบหมุนเวียน ไปจนถึงบัตรเครดิตที่เสนอบริการอื่น ๆ มากมาย