Grab Taxi รายได้โตเกิน 100% | ลงทุนศาสตร์ Investerest.co

หากพูดแอปพลิเคชัน หรือ Startups ที่มาแรงและส่งผลต่อคนไทยมากๆ ในเวลานี้ คนส่วนใหญ่คงนึกถึง Grab ผู้ให้บริการด้านรับส่งผู้โดยสาร สั่งซื้ออาหาร ส่งของและทำธุระ ในขณะที่กระแสสังคมเรื่อง Grab กำลังดังมากๆ งบการเงินของ Grab ก็โตดีมากเช่นกัน อย่างปีล่าสุด Grab Taxi รายได้โตเกิน 100%

งบการเงินปี 2016 – 2018 ของบริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด

ปี 2016
รายได้รวม 104,131,569 บาท
รายจ่ายรวม 620,271,535 บาท
ขาดทุนสุทธิ 516,139,966 บาท

ปี 2017
รายได้รวม 508,510,201 บาท
รายจ่ายรวม 1,493,844,350 บาท
ขาดทุนสุทธิ 985,334,149 บาท

ปี 2018
รายได้รวม 1,159,233,358 บาท
รายจ่ายรวม 1,870,794,662 บาท
ขาดทุนสุทธิ 711,561,304 บาท

สังเกตว่าหากมองในมุมการเติบโตของรายได้ ถือว่า Grab มีการเติบโตของรายได้สูงมาก ปี 2016 – 2018 มีการเติบโตของรายได้สูงถึง 103.29% , 388.33% และ 127.96% ตามลำดับ

ในขณะที่ bottom line หรือความสามารถในการทำกำไรสุทธิยังไม่ดีนัก

ปี 2018 รายได้รวมอยู่ที่ รายได้รวม 1,159,233,358 บาท แต่ยอดขาดทุนสูงถึง ขาดทุนสุทธิ 711,561,304 บาท คิดเป็นอัตราขาดทุนสุทธิสูงถึง 61.38% หรือคิดง่ายๆ ว่าทุกรายได้ 100 บาทของ Grab จะทำให้เกิดการขาดทุนสูงถึง 61.38 บาท

หากมองในมุมนักลงทุน การขาดทุนของ Grab ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจินตนาการนัก

ด้วยการพยายามเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค Grab จึงจำเป็นต้องเน้นแย่งส่วนแบ่งตลาด และทำให้ผู้บริโภคเคยชินต่อพฤติกรรมแบบใหม่ก่อน จนถึงจุดหนึ่งค่อยเน้นการทำกำไร ซึ่งก็ค่อนข้างจะเป็นปรัชญาโดยทั่วไปของบริษัทแนว Startups

แน่นอนว่าเรื่องนี้ในมุมมองของผู้บริโภคถือว่าน่าสนใจมาก

การขาดทุนของ Grab หมายถึงการที่ให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์หรือได้กำไรอยู่นั่นเอง หลายคนอาจเคยสงสัยว่าทำไมโปรโมชันแต่ละอย่างของ Grab ถึงถูกมาก เช่น ส่วนลดค่าแท็กซี่ที่มักมีตลอด หรือโปรโมชันจัดส่งอาหารฟรี ซึ่งแปลว่า Grab กำลังแบกต้นทุนอยู่เต็มๆ

คำตอบก็คือ Grab ยอมขาดทุนเพื่อให้เราใช้บริการของเขา

ในมุมผู้บริโภค หากเราสนใจจะใช้บริการเหล่านั้นอยู่แล้ว การเลือกใช้บริการอะไรแบบนี้ก็มีทีท่าจะคุ้มกว่า เพราะหมายถึงเรากำลังกำไรอยู่ทางอ้อมนั่นเอง