ส่องกำไรธุรกิจสวนสนุก ผ่านบริษัท Six Flags
Six Flags Entertainment เป็นบริษัทผู้ประกอบกิจการสวนสนุกและสวนน้ำภายใต้แบรนด์ Six Flags ตามชื่อของบริษัทที่บริหารมาแล้วกว่า 62 ปี มีสวนสนุกในเครือกว่า 24 แห่งทั่วประเทศอเมริกา และยังมีอยู่ในในเม็กซิโกและแคนาดาอีกด้วย
สำหรับรายได้หลักของบริษัท Six Flags มาจาก 3 ส่วนครับคือ ค่าธรรมเนียมการเข้าสวนสนุก ค่าอาหาร ค่าของชำ และค่าโฆษณาสินค้าและบริการอื่น ๆ ตามสวนสนุก
ค่าใช้จ่ายหลักของบริษัทเทียบกับรายได้จะมาจาก ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operating expenses) ราว 43%, ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ที่ประมาณ 12%, ค่าใช้จ่ายในการขายสินค้า (COGs) ราว 8%, ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย ราว 8-9%, รายจ่ายจากดอกเบี้ยราว 10%
ตัวเลขการเงินย้อนหลังของบริษัทมีดังต่อไปนี้
ปี ค.ศ. 2019
บริษัทมีรายได้ 1.49 พันล้านเหรียญ
บริษัทมีกำไรขั้นต้น 631.26 ล้านเหรียญ (อัตรากำไรขั้นต้น 42.44%)
บริษัทมีกำไรสุทธิ 179.06 ล้านเหรียญ (อัตรากำไรสุทธิ 12.04%)
ปี ค.ศ. 2020
บริษัทมีรายได้ 356.57 ล้านเหรียญ
บริษัทมีกำไรขั้นต้น -187.44 ล้านเหรียญ (อัตรากำไรขั้นต้น -52.57%)
บริษัทมีกำไรสุทธิ -423.38 ล้านเหรียญ (อัตรากำไรสุทธิ -118.74%)
ปี ค.ศ. 2021
บริษัทมีรายได้ 1.50 พันล้านเหรียญ
บริษัทมีกำไรขั้นต้น 609.49 ล้านเหรียญ (อัตรากำไรขั้นต้น 40.72%)
บริษัทมีกำไรสุทธิ 129.92 ล้านเหรียญ (อัตรากำไรสุทธิ 8.68%)
ปี ค.ศ. 2022
บริษัทมีรายได้ 1.36 พันล้านเหรียญ
บริษัทมีกำไรขั้นต้น 541.41 ล้านเหรียญ (อัตรากำไรขั้นต้น 39.86%)
บริษัทมีกำไรสุทธิ 108.93 ล้านเหรียญ (8.06%)
สิ่งหนึ่งที่บริษัท Six Flags ยึดเป็นกุญแจสำคัญในการลงทุนสร้างสวนสนุกและเป็นเรื่องที่ทำให้เรารู้จักธุรกิจสวนสนุกมากยิ่งขึ้น คือเรื่องของทำเลที่ตั้ง ยิ่งสวนสนุกตั้งอยู่ในบริเวณที่มีประชากรอยู่อาศัยมากก็เหมาะสมแก่การตั้งสวนสนุก ต่อมาเป็นเรื่องของการแข่งขัน นั่นคือบางสวนสนุกอาจสร้างความแปลกใหม่ สร้างประสบการณ์ให้กับผู้รับชมมากจนต้องกลับไปใช้บริการซ้ำ จุดนี้นับเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจนี้มีความหลากหลายทั้งในแง่ทำเลที่ตั้ง และความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ความเสี่ยงที่ต้องคำนึงถึงเกี่ยวกับบริษัทคือธุรกิจประเภทนี้อ่อนไหวต่อสภาพดินฟ้าอากาศอย่างยิ่ง รวมถึงโรคติดต่ออย่าง COVID-19 ที่ฉุดรายได้และกำไรของบริษัทไปอย่างไม่มีชิ้นดี และที่สำคัญคือบริษัทมีค่าใช้จ่ายด้านพนักงานตลอด กอปรกับเรื่องเงินเฟ้อ จุดนี้จึงเป็นจุดที่ต้องพิจารณาว่าบริษัทจะสามารถปรับราคาอาหาร ราคาค่าเข้าสวนสนุกได้ตามอัตราเงินเฟ้อ และครอบคลุมรายจ่ายเกี่ยวกับพนักงานหรือไม่
แต่ทั้งนี้บริษัทเองก็มีหนึ่งในข้อเสียที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือเรื่องของความเป็นฤดูกาลซึ่งนับเป็นหนึ่งในความเสี่ยงหนึ่งของธุรกิจนี้ โดยจากรายงานประจำปีของบริษัทได้บอกให้เรารู้ว่าตามปกติแล้วกว่า 70% ของรายได้นั้นจะมาในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี โดยเฉพาะช่วงวันหยุดอย่าง วันระลึกถึงทหาร วันจันทร์ที่ 4 ของเดือนพฤษภาคม และวันแรงงานแห่งชาติ วันจันทร์แรกของเดือนกันยายน
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือบริษัท Six Flag นี้เป็นที่รู้จักกับคนไทยอย่างกลุ่มนักเรียนแลกเปลี่ยนเป็นอย่างยิ่ง จากการที่ Six Flag ได้ทำ Laber Agreements กับทางสหภาพแรงงานระดับชาติตามประเทศต่าง ๆ ซึ่งในทุก ๆ ปีในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยไทยจะมีงาน Work & Travel ให้โอกาสนักเรียนได้ไปเข้าร่วมกิจกรรมเสมอ ทาง Six Flag เองจะได้พนักงานหนุ่มสาวไฟแรงมาเป็นพนักงานประจำสวนสนุกซึ่งจากรายงานประจำปีของบริษัทได้กว่าว่าพนักงานกว่า 46% บริษัทเป็นพนักงานตามฤดูกาล (seasonal employees) จากโครงการนี้ทั้งสิ้น
สุดท้ายนี้ บริษัท Six Flag นับเป็นตัวอย่างที่ดีต่อการศึกษาบริษัทที่ประกอบกิจการสวนสนุกแบบ 100% ที่อาจหาโมเดลธุรกิจนี้ยากในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไทย ลงทุนศาสตร์เองก็หวังว่าข้อมูลที่เหล่านี้จะจุดประกายการลงทุนแก่ทุกคนได้
ลงทุนศาสตร์ – Investerest
ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , และ WEBSITE
อ้างอิง
https://investors.sixflags.com/news-and-events/events-and-presentations
https://investors.sixflags.com/investor-overview/six-flags-at-a-glance
https://investors.sixflags.com/sec-filings
อัพเดทล่าสุดเมื่อ :