เอเชียเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ สงครามในยูเครน จีน และรัฐบาลสหรัฐฯ

เอเชียเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ สงครามในยูเครน จีน และรัฐบาลสหรัฐฯ

เมื่อพูดถึงการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ เราอาจใช้แว่นตามองได้ทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลก บทความชิ้นนี้ชวนมาดูผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อภูมิภาคเอเชีย จากปัจจัยหลักสามข้อ ได้แก่ สงครามในยูเครน การเผชิญโควิดและมาตรการควบคุมการระบาดของจีน และค่าเงินที่สูงขึ้นของสหรัฐฯ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าภูมิภาคเอเชียอาจเผชิญความยากจนและเศรษฐกิจถดถอยอย่างน่ากังวลในปีนี้

ธนาคารโลกหรือ World Bank ได้เตือนว่าประเทศในภูมิภาคเอเชียอาจต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจใหญ่ในปีนี้ ซึ่งได้แก่ สงครามในยูเครน การชะงักงันในจีน และค่าเงินที่สูงขึ้นในสหรัฐอเมริกา

ธนาคารเพื่อการพัฒนาประเมินว่าในปี 2022 ประเทศเอเชียตะวันออกและเอเชียแปซิฟิกจะเติบโต 5% จาก 5.4% และเตือนให้ระวังว่าการเจริญเติบโตอาจตกต่ำไปที่ 4% ได้หากปัจจัยหลาย ๆ อย่างแย่ลง ซึ่งจะทำให้ผู้คน 6 ล้านคนเป็นอย่างต่ำต้องอยู่ในสภาวะยากจน

สำหรับปัจจัยด้านประเทศจีน ประเมินว่า เศรษฐกิจของประเทศที่มีตลาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกจะโต 5% ในปีนี้ ซึ่งตกต่ำจากปีที่แล้วมากที่มีการเติบโตถึง 8.1% ต่ำกว่าที่รัฐบาลจีนคาดหวังไว้ ว่าจะโตประมาณ 5.5% การกลับมาแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด 19 ในจีน และนโยบาย zero-tolerance approach หรือการไม่อดทนอดกลั้นต่อการระบาดทำให้มีมาตรการอันเข้มงวดต่าง ๆ ออกมาเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งมาตรการเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง ซึ่งจะส่งผลต่อประเทศที่มีการค้าขายพึ่งพาเศรษฐกิจตลาดจีนอยู่ด้วยเช่นกัน

นอกจากนั้น ด้วยความที่ประเทศในเอเชียก็ได้รับผลกระทบไม่น้อยเลยจากการระบาดของโควิด 19 ที่ยังควบคุมไม่ได้ระลอกล่าสุด ธนาคารโลกเองก็ประเมินว่าความยากจนจะสูงขึ้น และการพัฒนาทางเศรษฐกิจจะลดลง

ปัจจัยเรื่องค่าเงินของสหรัฐอเมริกาก็จะส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากประเทศกำลังพัฒนา และเป็นการกดดันต่อค่าเงินของประเทศเหล่านั้นด้วย นี่จะเป็นอัตราเร่งที่ทำให้เศรษฐกิจมีปัญหาและชะลอการเจริญเติบโตไปอีก

ซ้ำร้าย สงครามในยูเครนก็ส่งผลกระทบต่อประเทศในเอเชียเช่นกัน เพราะสร้างการชะงักงันของสินค้าที่จะเข้ามาเป็นอุปทาน และเพิ่มความตึงเครียดทางการเงินอีกด้วย

สงครามและมาตรการคว่ำบาตรรัซเซียทำให้เกิดแนวโน้มว่าราคาสินค้าระดับโลก เช่น อาหาร และพลังงาน จะทำร้ายผู้บริโภค และชะลอการเจริญเติบโต ยกตัวอย่างเช่น จำนวนคนจนในฟิลิปปินส์อาจเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านคน หากราคาสินค้าประเภทอาหารเพิ่มขึ้นถึง 10% ในปีนี้

ด้วยปัจจัยสามข้อที่กล่าวข้างต้น ทำให้เศรษฐกิจเอเชียเป็นที่น่าห่วง ดังนั้นเราจะต้องจับตาดูให้ดีว่าแนวโน้มของปัจจัยต่างๆเป็นอย่างไร เศรษฐกิจเดินไปในทางเดียวกับที่ถูกประเมินไว้หรือไม่ และในฐานะผู้บริโภค นักลงทุน หรือประชากรในภูมิภาคนี้ เราจะปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอย่างไร