เศรษฐกิจ

สรุปวิกฤตฟองสบู่ดอทคอม : ยุทธการปั่นหุ้นโดยการเติมคำว่า .com

สรุปวิกฤตฟองสบู่ดอทคอม

สรุปวิกฤตฟองสบู่ดอทคอม : ยุทธการปั่นหุ้นโดยการเติมคำว่า .com

 

ในตลาดหุ้นทุกยุคสมัย ความนิยมของหุ้นแต่ละกลุ่มมักจะหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปตามแต่แรงเก็งกำไรจะนำพา คนที่ลงทุนกับหุ้นไทยอยู่แล้วอาจจะคุ้นเคยกับเหตุการณ์เหล่านี้ บางช่วงคนนิยมหุ้นพลังงาน บางช่วงนิยมหุ้นเหล็ก บางช่วงนิยมหุ้นที่เกี่ยวกับความสวย

 

หุ้นกลุ่มที่ได้รับความนิยมย่อมมีแนวโน้มที่ราคาจะพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อคนเฉยเมยกับหุ้นเหล่านั้น ราคาหุ้นก็พร้อมจะร่วงเละราวกับบริษัทถูกโจรปล้น จะว่ามันเป็นฟองสบู่ลูกเล็กๆ ก็ไม่ผิด มันย่อมสร้างผลขาดทุนให้กับนักลงทุนผู้โชคร้ายบางคนที่ขายไม่ทันเวลาที่หุ้นกลุ่มนั้นเสื่อมความนิยม แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นไทยถึงจุดจบ ตลาดหุ้นยังไปต่อได้เพราะคนก็ย้ายเงินไปเล่นหุ้นกลุ่มใหม่เสมอ

 

แต่อะไรจะเกิดขึ้นถ้าคนหันไปเล่นหุ้นกลุ่มเดียวกันทั้งตลาด ไม่ว่าจะคนธรรมดาไปจนถึงผู้จัดการกองทุนก็เล่นหุ้นกลุ่มนี้ เงินนับล้านล้านเหรียญพากันมาทุ่มให้กับหุ้นกลุ่มนี้ราวกับว่ามันจะเติบโตต่อไปชั่วนิรันดร์

 

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง Dot Com Crisis หรือวิกฤตฟองสบู่ดอทคอมในสหรัฐเมื่อปี 2000

 

อุตสาหกรรมแห่งอนาคต

 

ผู้คนมักจะตื่นเต้นกับสิ่งใหม่เสมอโดยเฉพาะสิ่งที่มันใหม่มากๆ เสียจนคนไม่เข้าใจ โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ต ในช่วงปี 1995 อุตสาหกรรมนี้เริ่มถูกจุดพลุเรียกแขกด้วยความบังเอิญโดยบริษัท Yahoo! ที่ตอนแรกเป็นเพียงเว็บไซต์ให้บริการค้นหาข้อมูล (search engine) ธรรมดาๆ ที่มีคนเข้าเว็บเพียงสัปดาห์ละ 1,000 คน แต่เมื่อจับมือร่วมดีลกันกับบราวเซอร์ NetScape ที่ทำให้คนเข้ามาเว็บไซต์ Yahoo! ได้ง่ายขึ้น ยอดผู้ใช้งานก็เพิ่มกระฉูดเป็นวันละกว่า 1 ล้านคน

 

ไม่นานต่อจากนั้น Yahoo! ก็เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น และกลายเป็นบริษัทขนาด 1 พันล้านเหรียญในพริบตา ราคาหุ้นขึ้นไปสามเท่านับตั้งแต่วันแรกที่มีการซื้อขาย

 

ในกรณีของ Yahoo! มันดูเป็นบริษัทที่ยังพอมีพื้นฐานธุรกิจจับต้องได้อยู่บ้าง แต่ความร่ำรวยชั่วพริบตานับพันล้านเหรียญ ได้ดึงดูดให้บริษัทน้อยใหญ่พากันมาทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ต ขอแค่มีคำว่า .com ต่อท้าย ทุกคนก็พร้อมจ่ายเพื่อเดิมพันกับอนาคตที่ลอยอยู่ในอากาศ ทั้งที่บางบริษัทยังไม่มีรายได้ ไม่มีกำไร หรืออาจไม่มีกระทั่งสินค้า มีเรื่องเล่าว่าบางบริษัทใช้เงินที่ระดมทุนได้จากการขายหุ้นเกือบทั้งหมดไปกับการโฆษณาตัวเอง โดยที่สินค้ายังไม่มีเลยด้วยซ้ำไป

 

ตลาดหุ้น 5 เด้ง

 

ด้วยแรงเก็งกำไรที่เกิดขึ้น มีจำนวนหุ้นไม่น้อยเลยที่ปรับตัวขึ้นไปนับสิบๆ เด้งในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 1995-2000 หุ้น Yahoo! วิ่งจากราคา 18 เหรียญตอนเสนอขายในตลาดหุ้นครั้งแรก ไปสร้างจุดสูงสุดที่ราวหุ้นละ 100 เหรียญ หุ้น Apple วิ่งแบบขำๆ จาก 1 เหรียญไป 5 เหรียญ ยักษ์ใหญ่ทุกวันนี้อย่าง Amazon ราคาพุ่งทะยานจากราวๆ 1 เหรียญไปเป็นหุ้นละ 100 เหรียญ อินเทอร์เน็ตข่างทำให้โลกนี้ดูน่าอยู่ขึ้นเสียจริง โดยเฉพาะโลกของผู้ถือหุ้นบริษัทอินเทอร์เน็ตเหล่านั้น

 

ตลาดหุ้นก็วิ่งขึ้นไม่น้อยหน้า ดัชนีตลาด NASDAQ อันเป็นตลาดหุ้นที่บริษัทอินเทอร์เน็ตนิยมไปจดทะเบียนกัน ปรับตัวขึ้นจากระดับ 1,000 จุดไปสู่ 5,000 จุด กระทั่งดัชนี Dow Jones ที่ประกอบด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่มากมายและไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเท่าไหร่เลย ดัชนีก็ยังวิ่งจาก 4,000 จุดไปจนถึงเกือบ 12,000 จุดเช่นกัน

 

ทุกคนดูมีความสุข แต่อย่างไรเสียเราไม่อาจหลีกหนีความจริงได้ว่านักลงทุนกำลังหน้ามืดซื้อในบางสิ่งที่มีราคาแพงเกินไปมากๆ บางสิ่งที่ไม่มีกระทั่งกำไรหรือสินค้าให้เป็นที่ประจักษ์ จนในที่สุด ฟองสบู่ดอทคอมก็แตกในปี 2000

 

กลับไปที่เก่า

 

ตลาดหุ้นวิ่งกลับไปสู่จุดที่มันเคยขึ้นมา แต่บริษัทจำนวนมากไม่ได้โชคดีอย่างนั้น หลายแห่งล้มละลาย บริษัทเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ในทุกวันนี้ต่างก็เคยประสบกับฝันร้ายในยุคดอทคอมมาก่อน หุ้นของ Yahoo! ร่วงไปที่เดิม หุ้น Amazon ร่วงไป 95% หุ้น Apple ก็ร่วงกลับไปที่เก่า บรรดานักลงทุนและ venture capital ล้วนเจ็บตัวไปตามกัน สาย LAN ที่ใช้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตคงโดนเอาไปชั่งกิโลขาย แต่นั่นก็ไม่อาจชดเชยความมั่งคั่งที่หายไปกว่า 5 ล้านล้านเหรียญได้แม้แต่น้อย

 

คงไม่มีใครคิดว่าฟองสบู่นี้จะแตก แต่นี่คือเรื่องเก่าเล่าใหม่ ฟองสบู่ครั้งนี้แทบไม่ได้ต่างอะไรกับฟองสบู่ในอดีตแม้แต่น้อยเลย โดยเฉพาะวิกฤตการณ์หุ้นบริษัท South Sea ที่เกิดขึ้นในอังกฤษเมื่อราวสี่ศตวรรษก่อน คนยุคนั้นยอมซื้อหุ้นบริษัทที่ไม่ยอมบอกด้วยซ้ำว่าทำธุรกิจอะไร ไม่ต่างอะไรกับนักลงทุนผู้ชาญฉลาดในฟองสบู่ดอทคอมเลย

 

หากพิจารณาด้วยเหตุผล การซื้อหุ้นของบริษัทสักอย่างที่ยังไม่มีรายได้หรือกำไรอาจไม่ใช่สิ่งที่ผิด เพราะนี่คือวิถีแห่งการลงทุนในแบบของสตาร์ทอัพที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน แต่การจ่ายในราคาที่แพงเกินไปกับหุ้นดอทคอมในยุคนั้นดูเป็นอะไรที่ไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะการซื้อหุ้นของบริษัทที่เอาเงินเกือบทั้งหมดไปทำการตลาดก็ยิ่งไม่สมเหตุสมผลเข้าไปใหญ่ ราวกับเราละทิ้งความจริงพื้นฐานในการลงทุนที่ว่า “จงจ่ายในราคาที่เหมาะสมกับสิ่งที่คุณได้รับ”

 

และเมื่อความจริงนี้กลับมาเช็คบิลเราทีหลัง มันก็เป็นความจริงที่มีราคาเกือบ 5 ล้านล้านเหรียญ ความจริงที่ปรากฏขึ้นหลังจากฟองสบู่ดอทคอม

 

ลงทุนศาสตร์ – Investerest

ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , OFFICIAL LINE และ WEBSITE

 

พิเศษ! เข้ากลุ่มเรียนหุ้นออนไลน์ฟรีกับลงทุนศาสตร์แบบไม่มีเงื่อนไขได้ที่ : เรียนหุ้นฟรีกับลงทุนศาสตร์

 

เอกสารอ้างอิง
Dotcom Bubble : investopedia.com
Where are they now? เมื่อฟองสบู่ดอทคอมแตก : ahead.asia
History of the Dot-Com Bubble Burst and How to Avoid Another : moneycrashers.com

 

อัพเดทล่าสุดเมื่อ :

เกี่ยวกับผู้เขียน

ลงทุนศาสตร์

ผมเขียนบทความเกี่ยวกับการลงทุนตั้งแต่เบื้องต้น เหมาะสำหรับผู้ลงทุนหรือผู้ที่มีความสนใจที่จะลงทุนที่รักหรือมีทีท่าว่าจะรักในศาสตร์ของการลงทุนเหมือนกัน