ตลาดหุ้น ดูเหมือนจะเป็นแหล่งรวมของธุรกิจทุกประเทศ ทั้งแต่เกษตรกรรม อุตสาหกรรม ภาคการบริโภค ไปจนถึงเทคโนโลยี แต่ตลาดหุ้นเองก็มีด้านมืดอยู่มาก อย่าง ” บริษัทค้าทาส ” ก็เคยเป็นอีกบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น
เมื่อประมาณ 600 ปีที่ผ่านมา ยุโรปถือเป็นเจ้าแห่งการล่าอาณานิคมอย่างแท้จริง
ในยุคสมัยที่ยุโรปเริ่มพัฒนาความรู้เรื่องการเดินเรือเป็นครั้งแรก การเดินทางโพ้นทะเลถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก เพราะถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ โจรสลัด รวมไปถึงโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ แต่ประเทศปลายทางที่ไปมักจะมีทรัพยากรธรรมชาติให้ฉกฉวยแย่งชิง ไม่ว่าจะด้วยไม้แข็งหรือไม้อ่อน แน่นอนว่าทรัพยากรที่ได้มาอาจจะเป็นได้ทั้งทองคำ ผ้าไหม ดีบุก หรือแม้กระทั่ง “มนุษย์”
โปรตุเกสถือเป็นประเทศแรกที่เริ่มต้นทำธุรกิจค้ามนุษย์อย่างเปิดเผยในช่วงปลายของศตวรรษที่ 14 ส่วนอังกฤษเริ่มธุรกิจค้าทาสครั้งแรกโดยกัปตันจอห์น ฮอลว์กินในช่วงยุคควีนอลิซาเบธที่ 1 โดยเขาจะซื้อทาสมาจากแอฟริกาและนำไปขายที่อเมริกาเป็นหลัก คาดกันว่าตลอดช่วงระยะเวลา เขาค้าทาสชาวแอฟริกันไปมากกว่า 1,200 คน
ธุรกิจค้าทาสเฟื่องฟูขึ้นอย่างมากเพราะน้ำตาล
ในสมัยก่อน น้ำตาลถือเป็นสินค้าราคาแพงมากในยุโรป เนื่องจากยุโรปไม่ได้เป็นภาคพื้นที่มีอุตสาหกรรมอ้อยโดยธรรมชาติ น้ำตาลจึงเป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากแดนไกลและมีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ
จนกระทั่งอุตสาหกรรมอ้อยถูกบุกเบิกในขึ้นอเมริกา
จากสินค้าที่ถูกจำกัดไว้เฉพาะวงคนชั้นสูง น้ำตาลก็กลายมาเป็นสินค้าที่เข้าถึงได้โดยบุคคลทั่วไป ชาวอังกฤษสามารถเกิดวัฒนธรรมจิบชายามบ่ายและชิมเบเกอรี่ได้จากความเฟื่องฟูของไร่อ้อยในครั้งนี้ แต่แน่นอนว่าน้ำตาลราคาถูกก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่ต้องจ่ายมูลค่ามหาศาล
ไร่อ้อยถือเป็นงานที่ไม่มีใครอยากทำ เพราะเป็นงานที่ทั้งหนัก เหนื่อย และเสี่ยงตายจากโรคติดเชื้อต่างๆ (ในยุคนั้นยังไม่มีการค้นพบยาปฏิชีวนะ หากใครเป็นโรคติดเชื้อโอกาสตายก็ใกล้เคียงร้อยเปอร์เซ็นต์) ธุรกิจค้าทาสจึงเฟื่องฟูขึ้นท่ามกลางด้านมืดของวัฒนธรรม โดยบริษัทจากยุโรปจะไปสรรหาชาวแอฟริกันมาด้วยวิธีใดก็ตามและนำไปขึ้นฝั่งที่อเมริกาเพื่อขายให้กับเจ้าของไร่อ้อย เจ้าของบริษัทค้าทาสได้ส่วนต่างกำไรจากการค้ามนุษย์ร่วม 30 – 50 เปอร์เซ็นต์ เจ้าของไร่อ้อยก็ได้กำไรจากธุรกิจน้ำตาลที่กำลังเฟื่องฟูถึงขีดสุด ในขณะที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังถูกซื้อขายอย่างด้อยค่าและเสี่ยงตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บที่ยังไม่มียารักษา
The Royal African Company ถือเป็นบริษัทค้าทาสที่ยิ่งใหญ่ในยุคนั้น
The Royal African Company หรือ RAC สัญชาติอังกฤษก่อตั้งในปี 1672 โดยได้รับสัมปทานสิทธิ์ขาดในการค้าทาสที่ขึ้นตรงกับท่าเรือลอนดอนเพียงผู้เดียว ในช่วงที่ธุรกิจเฟื่องฟูมากที่สุด เรือสัญชาติอังกฤษขายทาสชาวแอฟริกันให้กับบริษัทอเมริกันมากกว่าปีละ 42,000 คน
จากงานวิจัยเรื่อง Royal African Company Share Prices during the South Sea Bubble บริษัทค้าทาสอย่าง RAC จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อังกฤษอย่างเปิดเผยเคียงคู่กับ The South Sea Company ที่ถือได้ว่าเป็นบริษัทค้าทาสขนาดใหญ่ 2 บริษัทที่ได้รับสัมปทานและการหนุนหลังจากรัฐบาลอย่างเต็มสูบ
และคนอังกฤษก็ร่วมลงทุนในธุรกิจค้าทาสอย่างเปิดเผย
หนังสือประวัติศาสตร์หลายเล่มเปิดเผยว่าคนที่ลงทุนในบริษัทค้าทาสเหล่านี้ก็คือคนชั้นกลางในอังกฤษโดยทั่วไป พนักงานของรัฐ คนดังคนที่มีชื่อเสียง ราชวงศ์ นักบวช พ่อค้าวาณิชย์ การระดมทุนของ The Royal African และ The South Sea เป็นการระดมทุนครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์มากจนแทบจะเรียกได้ว่าประชาชนทั่วไปถือหุ้นของสองบริษัทนี้กันอย่างถ้วนหน้าถ้วนตา
แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าผลกำไรที่พวกเขาได้ต้องแลกมาด้วยกับอะไรมากมายเท่าไหร่
ณ อีกฝั่งขั้วทะเลหนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งถูกประพฤติราวกับเขาไม่ใช่คน พวกเขาถูกบังคับและจองจำด้วยโซ่ตรวนและบังคับให้ไปไกลบ้าน พวกเขาทำงานหนักในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายและไม่มีภูมิคุ้มกันโรค ว่ากันว่าคนแอฟริกันจำนวนมากต้องตายลง เพื่อแลกไปกับวัฒนธรรมการจิบชายามบ่ายที่แม้แต่คนชิมเบเกอรี่ก็อาจจะไม่รู้เลยว่าน้ำตาลราคาถูกที่บรรจุอยู่ในโหลเหล่านี้แลกมาด้วยชีวิตของใครบ้าง
ฟองสบู่ของสองบริษัทนี้แตกในที่สุดและทำเอาคนอังกฤษจำนวนมากหมดเนื้อหมดตัว
แต่ประวัติศาสตร์บริษัทค้าทาสในครั้งนี้จะถูกจารึกอยู่ในหัวข้อด้านมืดของทุนนิยมตลอดไป ใครจะเชื่อว่าวัฒนธรรมของดินแดนอารยะแห่งหนึ่งของโลกแลกมาด้วยชีวิตของคนที่ต้องทุกข์ทนผ่านการระดมทุนจากตลาดหุ้นอย่างหน้าชื่นตาบาน
ลงทุนศาสตร์ – Investerest
ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , OFFICIAL LINE และ WEBSITE
พิเศษ! เข้ากลุ่มเรียนหุ้นออนไลน์ฟรีกับลงทุนศาสตร์แบบไม่มีเงื่อนไขได้ที่ : เรียนหุ้นฟรีกับลงทุนศาสตร์
อัพเดทล่าสุดเมื่อ :