MAJOR หรือบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจสื่อ โดยมีธุรกิจหลักคือการให้บริการโรงภาพยนตร์ และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยถือเป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดโรงภาพยนตร์สูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย
อย่างที่ทราบกันดีว่า ธุรกิจโรงหนังไม่ได้เติบโตสูงมากนักในปัจจุบัน
ด้วยทางเลือกการบริโภคภาพยนตร์และสื่อได้อย่างหลากหลายมากขึ้น ทั้งการดูหนังและซีรีย์ผ่านช่องทางสตรีมมิ่งอย่าง Netflix , iflix ที่กำลังมาแรง การบริโภคฟรีคอนเทนท์ผ่าน Youtube , LineTV ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการระบาดของการเผยแพร่คอนเทนท์ผิดกฎหมายอย่างการดูหนังออนไลน์ แผ่นผีซีดีเถื่อน ไลฟ์หนังเถื่อน รวมไปถึงโหลดบิต ทำให้ธุรกิจโรงหนังไม่ได้หอมหวานอีกต่อไป การขยายสาขารวมไปถึงการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ก็ไม่มีให้เห็นชัดมากนัก
แล้ว MAJOR ทำธุรกิจอย่างไรในวันที่โรงหนังโตช้าแบบนี้
ก่อนอื่นต้องเล่าก่อนว่า เมเจอร์มีธุรกิจในเครือที่หลากหลาย ตั้งแต่ธุรกิจขายตั๋วหนังซึ่งเป็นรายได้หลัก ธุรกิจขายน้ำและป๊อบคอร์น ธุรกิจโฆษณา รวมไปถึงธุรกิจยิบย่อยอื่นอย่างลานโบว์ลิ่งและคาราโอเกะ การให้เช่าพื้นที่ และการขายสินค้าลิขสิทธิ์
จากสัดส่วนรายได้จะพบว่าธุรกิจหลักของบริษัทมาจากสัดส่วนหลัก 3 ด้านเท่านั้น คือ ตั๋วหนัง ป๊อบคอร์น และโฆษณา ซึ่งกินสัดส่วนจากรายได้รวมประมาณ 54% 19% และ 16% ตามลำดับ แต่เมื่อมาพิจารณาถึงอัตรากำไรแล้วพบว่าธุรกิจโฆษณาให้อัตรากำไรสูงมากถึง 85% รองมาคือป๊อบคอร์นที่สูงถึง 68% ในขณะที่รายได้หลักอย่างค่าตั๋วให้อัตรากำไรเพียง 12% เท่านั้น
เมเจอร์ตั้งเป้าให้ป๊อบคอร์นและโฆษณาเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของบริษัท
จากข้อมูลการเติบโตของรายได้แบ่งตามลักษณะธุรกิจแล้วจะพบว่า ธุรกิจที่มีการเติบโตดีคือธุรกิจป๊อบคอร์นและเครื่องดื่ม และธุรกิจโฆษณา ซึ่งเติบโตดีกว่าค่าเฉลี่ยของรายได้รวม ในขณะที่ธุรกิจหลักอย่างตั๋วหนังสามารถประคับประคองตัวอยู่ได้ในระดับค่าเฉลี่ยคือเติบโตอ่อนๆ เท่านั้น ส่วนธุรกิจอื่นในเครืออย่างโบว์ลิ่งและคาราโอเกะ ให้เช่าและบริการ รวมไปถึงสื่อภาพยนตร์มีแนวโน้มการหดตัวอย่างชัดเจน
การเติบโตของเมเจอร์ในวันนี้จะหันไปหาธุรกิจเสริมของโรงหนังมากกว่าจะคาดหวังการเติบโตด้วยรายได้ของตั๋วหนังเอง
จุดเด่นของธุรกิจป๊อบคอร์นและโฆษณาโรงหนังคือเป็นส่วนธุรกิจที่มีกำไรสูงมาก แต่คู่แข่งที่จะเข้ามาแข่งขันไม่มาก เพราะการที่ป๊อบคอร์นและโฆษณาของเมเจอร์สามารถขายได้แพงแบบนี้เพราะมีโรงหนังซัพพอร์ตอยู่เบื้องนั่นเอง ซึ่งอย่างที่รู้กันว่าโรงหนังไม่ใช่ธุรกิจที่น่าทำเท่าไหร่ในทศวรรษนี้ เมเจอร์จึงยังดูมีแนวโน้มที่เอนจอยกับสัดส่วนกำไรที่สูงอย่างนี้ไปได้อีกพักหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าสุดท้ายแล้วการเติบโตของป๊อบคอร์นและโฆษณาก็ต้องพึ่งพิงกับโรงหนังที่ก็ต้องมีขีดจำกัดด้วยเช่นกัน
ปัจจุบัน เมเจอร์ทำสัดส่วน con to box ratio หรืออัตราส่วนลูกค้าที่ซื้อเครื่องดื่มและป๊อบคอร์นต่อจำนวนลูกค้ารวม ได้อยู่ที่ประมาณ 35% หรือตีได้ว่าในคนซื้อตั๋วหนัง 3 คนจะมีคนซื้อป๊อบคอร์นหรือเครื่องดื่ม 1 คน ซึ่งอัตราส่วนตรงนี้ยิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ก็จะทำให้เมเจอร์โตดีเท่านั้น เพราะกำไรจากการขายป๊อบคอร์นและน้ำสูงมาก
คงต้องติดตามว่าอัตราส่วนนี้จะไปอิ่มตัวที่เท่าไหร่
ลงทุนศาสตร์ – Investerest
ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , OFFICIAL LINE และ WEBSITE
พิเศษ! เข้ากลุ่มเรียนหุ้นออนไลน์ฟรีกับลงทุนศาสตร์แบบไม่มีเงื่อนไขได้ที่ : เรียนหุ้นฟรีกับลงทุนศาสตร์
อัพเดทล่าสุดเมื่อ :