ความไวไม่ใช่แค่เรื่องของปีศาจ: ศึกชิงการเป็นผู้นำ super computer อันดับหนึ่งระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา

ความไวไม่ใช่แค่เรื่องของปีศาจ: ศึกชิงการเป็นผู้นำ super computer อันดับหนึ่งระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา

ทุกวันนี้ ความเร็วของคอมพิวเตอร์ส่วนตัวที่เราใช้กันอยู่พัฒนามาไกลมากแล้ว จากยุคสมัยที่ต้องต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเฝ้ารอ กลายเป็นยุคที่ข้อมูลทุกอย่างพร้อมปรากฏเพียงแค่แตะปลายนิ้ว ความเร็วที่พัฒนาขึ้นนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่คอมพิวเตอร์ทั่วไป แต่ยังรวมถึง super computer คอมพิวเตอร์ขนาดยักษ์ที่มีการประมวลผลรวดเร็วมากกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไป โดยสามารถประมวลผลคำสั่งได้รวดเร็วสูงสุดมากถึงล้านล้านคำสั่งต่อวินาที (exascale) [1]

ความไวราวปีศาจเช่นนี้ ยังถูกนำมาเปรียบเทียบเพื่อหา supercomputer ที่ไวสูงสุดในบรรดา supercomputer ด้วยกัน และผู้ที่มีชื่อเป็นผู้ชนะในการเปรียบเทียบครั้งนี้ก็คือ Frontier จากสหรัฐอเมริกา [2] โดยอันดับสองได้แก่ Fugaku จากญี่ปุ่น และอันดับสาม คือ LUMI จากฟินแลนด์ [3] อย่างไรก็ตาม ผลการเปรียบเทียบสุดยอด supercomputer ในปีค.ศ. 2022 นี้ยังมีประเด็นที่หลายคนสงสัย นั่นคือการหายไปของ supercomputer จากจีน คู่แข่งรายใหญ่ตลอดกาลของสหรัฐอเมริกา[1]

แม้จะไม่มีรายชื่อของจีนในอันดับที่ 1-3 แต่นั่นก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าจีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการแข่งขันครั้งนี้แต่อย่างใด กลับกัน ผู้เชี่ยวชาญกลับคาดการณ์ว่าจีนเลือกที่จะไม่ส่งข้อมูลให้จัดอันดับ เนื่องจากต้องการกุมความลับการก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการผลิต supercomputer เอาไว้ [4]

จากคำกล่าวของ David Kahaner ผู้ก่อตั้งศูนย์ Asian Technology Information Program ภายในปีค.ศ. 2025 นี้ จีนอาจครอบครอง supercomputer ที่มีประสิทธิภาพสูงได้มากถึง 10 เครื่อง ในขณะที่ปัจจุบันนี้ สหรัฐอเมริกามี supercomputer อยู่เพียง 3 เครื่อง ทั้งนี้ เป็นที่คาดการณ์ว่า supercomputer ทั้ง 2 ของจีน ได้แก่ the Sunway OceanLight และ the Tianhe-3 อาจมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ Frontier ของสหรัฐอเมริกา [5]

อย่างไรก็ตาม เส้นทางการแข่งขันของจีนต่อสหรัฐอเมริกาก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป สหรัฐอเมริกาเพิ่งประกาศจำกัดการส่งออกชิปของ NVIDIA และ AMD มายังจีน [6] คำสั่งดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อการผลิต supercomputer ของจีนที่ต้องพึ่งพาชิปของสหรัฐอเมริกาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้น จีนก็ยังอาจเอาตัวรอดได้ด้วยการใช้ชิปที่ผลิตขึ้นเอง [4] และในทางกลับกัน คำสั่งแบนครั้งนี้กลับส่งผลกระทบให้หุ้นของ NVIDIA ร่วงตกร้อยละ 10.6 และหุ้นของ AMD ร่วงลงร้อยละ 5.8 ในทันที [7]

การแข่งขันกันระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนในการเป็นผู้นำการผลิต supercomputer คงจะยังดำเนินต่อไป ไม่ว่าใครจะขึ้นเป็นผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนี้ มวลมนุษยชาติก็ล้วนได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสิ้น เพราะการมีอยู่ของ supercomputer จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลในระยะเวลาอันสั้น ดังเช่นการที่หลายประเทศได้ใช้ supercomputer ในการวิเคราะห์ข้อมูลสายพันธ์ของโควิด-19 จากกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ [4]

สุดท้ายแล้ว ใครจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขันกันสร้าง supercomputer ที่เร็วที่สุด ผู้ชนะตัวจริงจะปรากฏชื่ออยู่ในการจัดอันดับใดใดหรือไม่ เราคงต้องติดตามกันต่อไป