MSCI ผู้ให้บริการข้อมูลดัชนีแก่กองทุน ETF ทั่วโลก
MSCI เป็นบริษัทที่ให้บริการคำแนะนำด้านการลงทุน และหา Solutions การลงทุนใหม่ ๆ ให้แก่วงการการเงิน ซึ่ง MSCI นี้ ย่อมาจาก Morgan Stanley Capital International หรือก็คือบริษัทเงินทุนของทางธนาคาร Morgan Stanley ซึ่งมีประวัติศาสตร์มากว่าครึ่งศตวรรษ ต่อมาบริษัทได้มีการควบรวมบริษัท Barra ซึ่งเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญในด้านการบริหารความเสี่ยงและจัดการพอร์ตฟอลิโอเข้ามาในปี 2004 บริษัทจึงได้รับองค์ความรู้ในด้านการบริหารเฉพาะทางนี้มาเสริมเขี้ยวเล็บเสริมความแกร่งขึ้น และในที่สุดบริษัทได้ Spin Off ออกมาจากธนาคาร Morgan Stanley เมื่อปี 2007 ออกมาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กด้วยราคาราว ๆ 22.8x เหรียญ และเมื่อปี 2009 MSCI ก็ได้เป็นบริษัทอิสระนอกใต้การควบคุมจากธนาคาร Morgan Stanley ในที่สุด ด้วยความจำเป็นในการหาเงินสดมารองรับการถูกฟ้องล้มละลายจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์
โดยผลิตภัณฑ์ที่ชูโรง MSCI ก็คือบริการข้อมูลกองทุน ETF หรือกองทุนรวมดัชนีซึ่งสามารถซื้อขายได้บนกระดานเทรดหุ้นตามปกติเลยครับ โดยผลิตภัณฑ์นี้มีครอบคลุมทุกหมวดหมู่สินทรัพย์ (Asset Class) ทั้งหุ้น หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล อสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์
โดยกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท MSCI ประกอบไปด้วย
Asset Owner : กองทุนประกันสังคม,มูลนิธิ,กงสี,บริษัทประกัน
Asset Manager : ผู้จัดการกองทุนทั้ง Hedge Fund,นักลงทุนสถาบัน,ผู้จัดการกอง REIT รวมถึง Wealth Manager ด้วย
Financial Intermediaries : กลุ่มธนาคาร, โบรกเกอร์, ตลาดหลักทรัพย์, บริษัททรัสต์
กล่าวคือลูกค้าที่อยู่ในแวดวงทางการเงินที่ถือครองและควบคุมสินทรัพย์ ล้วนแล้วแต่เป็นลูกค้าที่แสนดีของ MSCI ทั้งสิ้น
โดยเมื่อสิ้นปี 2021 บริษัทมีลูกค้ามากกว่า 6,300 ราย ครอบคลุมกว่า 95 ประเทศ โดยลูกค้าที่ทรงคุณวุฒิของบริษัทก็คือกลุ่ม BlackRock ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ให้บริษัทกว่า 12.7% และกว่า 93.6% ของ Black Rock จ่ายให้กับ MSCI นั้นคือบริการข้อมูลดัชนี
และหากเปรียบเทียบสัดส่วนตามแต่ภูมิภาคแล้วจะพบว่าสัดส่วนลูกค้าจะมาจาก 3 ส่วน อันได้แก่ฝั่งอเมริการาว ๆ (30%), ฝั่ง ประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market : 40-50%) และ ฝั่งประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Market : 25-30%)
MSCI เองมีอัตราการเติบโตของตัวเลข Subscription จากทางลูกค้าที่ยังคงเป็นขาขึ้นมาตลอด 10% และมีอัตราที่ลูกค้าจะกลับมาใช้ซ้ำกว่า 95% (Retention Rate)
และด้วยประสบการณ์มากกว่าครึ่งศตวรรษของบริษัทเอง ทำให้บริษัทมี Research และองค์ความรู้ที่ถูกสั่งสมมาทั้งด้าน Connection ลูกค้า และตัวเลขสถิติทั้งหลาย ได้สร้างเสริมให้บริษัทมี Insight เหนือบริษัทอื่น และมีทีม R&D ที่คอยช่วยปรับผลิตภัณฑ์การเงินกับ Index ของตัวเอง ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด นอกจากนี้ทีม R&D ของบริษัทเองก็มีส่วนช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพเหนือกว่าและมีค่าใช้จ่ายประหยัดกว่าคู่แข่งอีกด้วย
บริษัทมีตัวเลขการเงินย้อนหลังดังต่อไปนี้
ปี 2017
บริษัทมีรายได้ 1.27 พันล้านเหรียญ
บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น 920.50 ล้านเหรียญ (คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 72.24%)
บริษัทมีกำไรสุทธิ 303.97 ล้านเหรียญ (คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 23.86%)
บริษัทมีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) 75.80%
ปี 2018
บริษัทมีรายได้ 1.43 พันล้านเหรียญ (คิดเป็นอัตราการเติบโต 12.54%)
บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น 1.06 พันล้านเหรียญ (คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 74.00%)
บริษัทมีกำไรสุทธิ 507.88 ล้านเหรียญ (คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 35.42%)
บริษัทมีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) 433.13%
ปี 2019
บริษัทมีรายได้ 1.56 พันล้านเหรียญ (คิดเป็นอัตราการเติบโต %)
บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น 1.18 พันล้านเหรียญ (คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 75.97%)
บริษัทมีกำไรสุทธิ 563.65 ล้านเหรียญ (คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 36.18%)
บริษัทมีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) – %, บริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (ROIC) – 20.24%
ปี 2020
บริษัทมีรายได้ 1.70 พันล้านเหรียญ (คิดเป็นอัตราการเติบโต %)
บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น 1.58 พันล้านเหรียญ (คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 77.68%)
บริษัทมีกำไรสุทธิ 601.82 ล้านเหรียญ (คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 35.50%)
บริษัทมีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) – %, บริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (ROIC) 19.30%
ปี 2021
บริษัทมีรายได้ 2.04 พันล้านเหรียญ (คิดเป็นอัตราการเติบโต %)
บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น 1.58 พันล้านเหรียญ (คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 77.09%)
บริษัทมีกำไรสุทธิ 725.98 ล้านเหรียญ (คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 35.53%)
บริษัทมีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) – %, บริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (ROIC) 20.10%
สาเหตุที่บริษัทไม่มีตัวเลข ROE มานับตั้งแต่ปี 2019 มาจากการที่บริษัทได้ซื้อหุ้นคืนจนเมื่อราคา Mark to Market แล้ว ส่วนของผู้ถือหุ้นเมื่อรับรู้ราคาแล้วเลยถูกหักลบกับส่วนของทุนเดิม แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว บริษัทก็ไม่ได้สูญเสียความสามารถในการทำงานแต่อย่างใด เนื่องจากการมีเงินสดเพียงพอต่อการดำเนินงาน
และทั้งนี้บริษัทยังมี Free Cash Flow อย่างสม่ำเสมอตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
โดยส่วนตัวแล้ว มองว่าบริษัทมี Moat ที่แข็งแกร่งจากเรื่องของ Network Effect ที่ทรงพลังจากการเก็บรวบรวมทำ Index มาแต่ช้านาน ที่ยิ่งมี Sample ข้อมูลมากบริษัทอาจได้ Insight ดี ๆ มา R&D พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตรงจุดมากยิ่งขึ้น รวมถึงการมาของกระแสกองทุนรวมดัชนีหรือ ETF นี้เป็นแรงส่งอันทรงพลังที่ทำให้มีบริษัทด้านการเงินมาขอใช้บริการข้อมูลอันทำให้บริษัทมีรายได้ต่อเนื่องสร้างฐาน สร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวบริษัทมากยิ่งขึ้น และเมื่อไม่กี่ปีมานี้บริษัทก็ได้มีการให้ข้อมูลเรื่องของบริษัทที่มีการรณรงค์ใน ESG เพื่อสอดรับการมาของกระแสทุนนิยมที่มีหัวใจ ส่งเสริมการทำธุรกิจที่ช่วยสิ่งแวดล้อม การช่วยเหลือสังคม และการมีธรรมาภิบาล
โดยอัตราการเติบโตของรายได้ฝั่งข้อมูล ESG นี้นับว่าเติบโตในระดับที่น่าประทับใจเป็นพิเศษ โดยการเติบโตอย่างต่ำๆ ที่ 20% ต่อปี และยังมี Room ให้เติบโตอีกมากในอนาคต
นับเป็นหนึ่งในบริษัทที่น่าจับตาและอยู่ในเทรนด์ลงทุนอย่างสม่ำเสมอครับ โดยจะดีแค่ไหน หากเราได้ลงทุนในกลุ่มหุ้นที่ตรงจริต ตรงใจ ตรงรสนิยมของเรา มี Index ที่ช่วยให้เราลงทุนได้ตลอดช่วงอายุ
ลงทุนศาสตร์ – Investerest
ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , OFFICIAL LINE และ WEBSITE
พิเศษ! เข้ากลุ่มเรียนหุ้นออนไลน์ฟรีกับลงทุนศาสตร์แบบไม่มีเงื่อนไขได้ที่ : เรียนหุ้นฟรีกับลงทุนศาสตร์
อ้างอิง
https://www.tradingview.com/symbols/NYSE-MSCI/financials-income-statement/
https://ir.msci.com/annuals-and-proxies
https://www.investopedia.com/terms/m/msci.asp
https://economictimes.indiatimes.com/news/international/morgan-stanley-to-sell-remaining-stake-in-msci/articleshow/4549608.cms
อัพเดทล่าสุดเมื่อ :