แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ 4 ประการที่ผู้บริโภคควรรู้

การทำความเข้าใจกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์เป็นประโยชน์กับผู้บริโภคในการเรียนรู้ความเป็นไปของตลาด เป็นข้อมูลสำหรับตัดสินใจทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บออม ใช้จ่าย หรือลงทุน ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ช่วยให้ผู้บริโภคมองเห็นภาพรวมของธุรกิจ เพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น [1] ในที่นี้ ลงทุนศาสตร์ขอนำเสนอแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ 4 ประการที่ผู้บริโภคควรรู้ ได้แก่ การขาดแคลน (scarcity) อุปสงค์และอุปทาน (supply and demand) การวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ (cost-benefit analysis) และสิ่งจูงใจทางเศรษฐกิจ (economic incentives) [2] ดังนี้

การขาดแคลน เป็นแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่กล่าวถึงสถานการณ์ที่ผู้คนเผชิญกับการจัดสรรสินค้าหรือบริการที่มีอยู่อย่างจำกัด การขาดแคลนเกิดขึ้นเมื่อความต้องการในสินค้าหรือบริการมีมากกว่าความสามารถในการจัดหามาให้พอดีกับความต้องการได้ เมื่อเกิดการขาดแคลน ราคาของสินค้าและบริการมักพุ่งสูงขึ้น หรืออาจเกิดการจำกัดคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับสินค้าและบริการนั้น ดังนั้น การขาดแคลนจึงมักเป็นหนึ่งในกลไกที่กระตุ้นให้เกิดการปรับราคา หรือดึงดูดให้ผู้คนต้องการสินค้ามากยิ่งขึ้น [3]

อุปสงค์และอุปทาน คือหลักการพื้นฐานของเศรษฐศาสตร์ที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงราคาของสินค้าหรือบริการตามความต้องการของผู้บริโภค อุปสงค์หมายถึงความต้องการของผู้บริโภค ในขณะที่อุปทานคือความต้องการขายสินค้าของผู้ผลิต หากความต้องการของผู้บริโภคมีมากกว่าจำนวนสินค้าหรือบริการที่มีอยู่ สินค้าย่อมเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมากและมีราคาพุ่งสูงขึ้น แต่หากผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าและบริการต่ำกว่าที่ผู้ผลิตต้องการขาย ราคาของสินค้าและบริการย่อมต้องถูกปรับให้ต่ำลงเพื่อดึงดูดผู้บริโภค ดังจะเห็นได้ว่าสินค้าที่ไม่เป็นที่นิยมหรือถูกวางขายในจำนวนมากเกินไปมักถูกนำมาลดล้างสต็อก หรือจัดโปรโมชันส่งเสริมการขาย [4]

การวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ คือกระบวนการเปรียบเทียบต้นทุนและผลประโยชน์เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ ในการทำธุรกิจ เจ้าของกิจการต้องพิจารณาชั่งน้ำหนักระหว่างผลประโยชน์ที่ได้จากการลงแรงและต้นทุนที่จ่ายไป หากผลประโยชน์ที่ได้น้อยกว่าต้นทุนเท่ากับว่าขาดทุน ไม่คุ้มค่าที่จะลงมือทำ ทั้งนี้ ผลประโยชน์ที่ได้อาจวัดค่าเป็นจำนวนตัวเลขไม่ได้เสมอไป เจ้าของธุรกิจต้องตัดสินใจโดยพิจารณาผลประโยชน์ที่อาจได้มาอย่างรอบด้าน [5]

สิ่งจูงใจทางเศรษฐกิจ หมายถึงรางวัลหรือแรงจูงใจที่ชักจูงให้เกิดการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ที่กระตุ้นให้ผู้ผลิตนำเสนอสินค้าและบริการในตลาดเพิ่มขึ้น หรือการขาดแคลนที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคออกตามหาสินค้าและบริการมากขึ้น และทำให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น ผู้บริโภคควรทำความเข้าใจว่าทุกความเป็นไปที่เกิดขึ้นในตลาดล้วนเป็นแรงจูงใจที่กระตุ้นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอ [2]

การรู้ถึงแนวคิดเศรษฐศาสตร์ทั้ง 4 ประการดังกล่าวช่วยให้ผู้บริโภคเห็นภาพความเป็นไปของตลาดมากยิ่งขึ้น เพื่อจะได้รู้เท่าทันกลไกการตลาด เข้าใจจังหวะที่ราคาของสินค้าขึ้นและลง และเลือกอุดหนุนสินค้าและบริการได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ในขณะเดียวกัน เจ้าของกิจการที่เข้าใจแนวคิดพื้นฐานเหล่านี้ย่อมสามารถปรับแผนธุรกิจของตนเองให้เป็นไปตามที่ต้องการ อาจกล่าวได้ว่า ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัว แต่เป็นเรื่องที่ผู้คนควรทำความเข้าใจ และนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเอง