Active Value Investing (AVI) ถือเป็นแนวคิดการลงทุนที่ถูกเผยแพร่จนมีชื่อเสียงโดย Vitaliy N. Katsenelson ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือชื่อดังอย่าง Active Value Investing: Making Money in Range-Bound Markets รวมไปถึงหนังสือในชุด the little book ที่แสนโด่งดังอย่าง the little book of sideways markets
แนวคิดแบบ Active Value Investing ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงที่ตลาดหุ้นผ่านตลาดกระทิงมาอย่างยาวนาน หุ้นจำนวนมากมีราคาที่ไม่ถูก ถึงบางตัวอาจจะไม่ได้แพงมาก แต่ถ้าถือลงทุนก็อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีมากนักถ้าเทียบกับผลตอบแทนรวมของตลาด AVI จึงเป็นแนวคิดที่ถูกพัฒนามาสำหรับปัญหานี้
หัวใจของ AVI คือการลงทุนให้เหมาะกับช่วงสภาวะตลาด
1 กลยุทธ์ตลาดขาขึ้น : buy and hold
ตลาดขาขึ้นคือช่วงที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเพิ่มและค่า PE ของตลาดเพิ่ม ทำให้ภาพรวมของดัชนีเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากจากปัจจัยส่งเสริมทั้งคู่ ตลาดขาขึ้นรอบใหญ่มักจะเกิดหลักจากภาวะตลาดที่ตกต่ำมาอย่างยาวนาน เนื่องจากกำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้นได้มากจากเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว และค่า PE ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมากได้เช่นกันจากการที่ PE ตลาดเคยตกต่ำมาจากช่วงตลาดหมี
กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือ ซื้อและถือ (buy and hold) ตลาดที่เป็นขาขึ้นนั้น โดยภาพรวมหุ้นรายตัวมักจะขึ้นตามตลาดไปด้วย สิ่งสำคัญคือต้องเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ดีและถือเอาไว้ การจับจังหวะตลาดมักให้ผลตอบแทนสู้การถือไม่ได้ เพราะช่วงตลาดเป็นขาขึ้น การอยู่ในตลาดนานๆ มักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
2 กลยุทธ์ตลาดขาลง : cash and bond
ตลาดขาลงคือช่วงที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนลดและค่า PE ของตลาดก็ลดลงเช่นกัน ภาพรวมของตลาดจึงตกต่ำลงอย่างมากจากปัจจัยทวีคูณทั้งสองอย่าง ตลาดขาลงมักเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เนื่องจากช่วงดังกล่าวกำไรของบริษัทจดทะเบียนมักจะลดลงอย่างมาก และความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นก็จะตกต่ำมากจนทำให้ PE ของตลาดตกต่ำลงอย่างมาก ยิ่งวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรงเท่าไหร่ วิกฤตตลาดหุ้นก็จะรุนแรงมากเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น วิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ วิกฤตฟองสบู่ดอทคอม
กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือ เงินสดและพันธบัตร (cash and bond) ในช่วงที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤต การถือเงินสดและตราสารหนี้จะช่วยรักษาความมั่งคั่งของนักลงทุนไว้ได้มาก และจะยังช่วยทำให้มีเงินเข้าช้อนซื้อหุ้นในช่วงที่ราคาตกอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม วิกฤตเศรษฐกิจและวิกฤตตลาดหุ้นจำนวนมากเกิดขึ้นพร้อมกับปัญหาความมั่นคงของสถาบันการเงิน ดังนั้น การเลือกจะเก็บเงินสดไว้ที่ไหน หรือซื้อตราสารหนี้จากใครก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาไม่แพ้กัน
3 กลยุทธ์ตลาดไซด์เวย์ : buy and sell
ตลาดออกข้างหรือ sideway market คือภาวะตลาดที่ไม่มีแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลงที่ชัดเจน ส่วนใหญ่เกิดในช่วงที่กำไรของบริษัทยังเติบโตอยู่ได้ แต่ค่า PE ของตลาดขึ้นมารอรับอยู่นานแล้ว ตลาดไซด์เวย์จึงมักจะเกิดขึ้นหลังจากตลาดกระทิงที่ยาวนาน ลักษณะตลาดสำคัญในช่วงนี้คือการซื้อหุ้นและถือมักให้ผลตอบแทนไม่มาก รวมไปถึงการซื้อดัชนีอาจจะให้ผลตอบแทนที่ไม่ดี เพราะภาพรวมดัชนีของตลาดไม่ไปไหนเลย
กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือ ซื้อและขาย (buy and sell) ซื้อเมื่อหุ้นมีราคาต่ำกว่ามูลค่า และขายหุ้นออกไปเมื่อราคาขึ้นมาเกินกว่ามูลค่าแล้ว หลังจากนั้นก็วนหาหุ้นซื้อขายทำกำไรไปเรื่อยๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ได้ แม้ตลาดจะอยู่ในภาวะที่ไม่ไปไหนเลย โดย Vitaliy N. Katsenelson แนะนำให้ให้เป้าราคาเป็นค่า normalized PE จะดีกว่าให้เป้าราคาเป็นตัวเลขราคาหุ้นโดยตรง เพราะถ้าบริษัทเติบโตดีกว่าคาด การตั้งเป้าราคาขายเป็นราคาหุ้นอาจจะทำให้ขายหุ้นผิดจังหวะได้
การลงทุนแบบ Active VI ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเลย
สิ่งสำคัญคือนักลงทุนต้องมองภาพตลาดให้ออกและนำมาปรับใช้กับกลยุทธ์ของตนเองได้อย่างเหมาะสม การลงทุนแบบ AVI จะอิงกับการมองตลาดมากกว่าการลงทุนแบบ VI ปรกติ ดังนั้น นักลงทุนอาจจะต้องฝึกฝนความสามารตรงนี้เพิ่มเติม
ลงทุนศาสตร์ – Investerest
ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , OFFICIAL LINE และ WEBSITE
พิเศษ! เข้ากลุ่มเรียนหุ้นออนไลน์ฟรีกับลงทุนศาสตร์แบบไม่มีเงื่อนไขได้ที่ : เรียนหุ้นฟรีกับลงทุนศาสตร์
อัพเดทล่าสุดเมื่อ :