ทุกสิ้นปี ผมจะต้องทำสรุปผลการดำเนินงานของพอร์ตฟอลิโอหุ้นของตัวเองเพื่อเปรียบเทียบกับตลาดว่า ปีนี้เราลงทุนแพ้หรือชนะตลาดอย่างไรบ้าง และถ้าแพ้หรือชนะตลาด สาเหตุของมันคืออะไร จะแก้ไขหรือส่งเสริมให้เหมาะสมได้อย่างไร หลายคนสงสัยว่า ทำไมนักลงทุนต้องแข่งกับตลาด มันจำเป็นเหรอ?
ผมต้องถามกลับก่อนว่าวันนี้เราลงทุนเพื่ออะไร
ถ้าลงทุนเพื่อความสนุกหรือความสุขส่วนบุคคล แบบนี้ไม่จำเป็นต้องวัดผลตอบแทนเทียบกับตลาดก็ได้ แต่ถ้าวันนี้เราลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งหรือแสดงหากำไร แบบนี้จำเป็นต้องเปรียบเทียบผลตอบแทนพอร์ตของตัวเองกับตลาดเสมอ
เพราะการลงทุนมีต้นทุนค่าเสียโอกาสหรือ Opportunity Cost
Opportunity Cost คือต้นทุนที่เราเสียไปจากการไม่ทำตามทางเลือกที่ดีเป็นอันดับสองของการตัดสินใจ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเอาบ้านมาทำธุรกิจ เราก็ควรจะจ่ายค่าเช่าให้ตัวเองด้วย เพราะในกรณีนี้ ถือว่าเรามีต้นทุนค่าเสียโอกาสจากการนำบ้านไปปล่อยเช่าให้คนอื่นแทน การไม่คำนวณต้นทุนค่าเสียโอกาสให้ถูกต้องอาจจะทำให้เราเข้าใจผิด คิดว่าเรากำไร แต่ความจริงคือขาดทุนโอกาสอยู่ เช่น เอาบ้านมาทำธุรกิจได้กำไรเดือนละ 3,000 บาท แต่ถ้าเอาบ้านไปปล่อยเช่าได้กำไรเดือนละ 5,000 บาท แบบนี้ปิดกิจการแล้วไปปล่อยเช่าบ้านจะคุ้มกว่า
การลงทุนก็เป็นเช่นเดียวกัน
ต้นทุนค่าเสียโอกาสของการลงทุนหุ้นคือการไม่นำเงินไปลงทุนในกองทุนรวม
แต่แน่นอนว่ากองทุนรวมเองก็มีความสามารถในการบริหารที่หลากหลาย นักลงทุนจึงควรเปรียบเทียบผลตอบแทนของพอร์ตตัวเองกับกองทุนรวมดัชนีเป็นหลัก เพราะถ้าเราเล่นหุ้นเองแล้วกำไรน้อยกว่าซื้อกองทุนดัชนีตลอด แบบนั้นเอาเงินไปซื้อกองทุนดัชนี แล้วเอาเวลาไปหาเงินมาเติมพอร์ตเสียจะยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า และนั่นจึงเป็นที่มาของการเปรียบเทียบผลตอบแทนตัวเองกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์นั่นเอง
แน่นอนว่านักลงทุนควรให้เวลาตัวเองที่มากพอด้วย
การจะวัดผลเพียงปีหรือสองปีและตัดสินใจเลือกเล่นหุ้นไปซื้อกองทุนรวมเลยก็ดูจะเป็นการตัดสินใจที่เร็วไปหน่อย
เพราะบางครั้งตลาดก็มีความผันผวนในระยะสั้น ดังนั้น นักลงทุนอาจจะมองภาพที่ยาวขึ้นเพื่อเปรียบเทียบให้ชัดเจน ตอนเข้าตลาด ผมให้เวลาตัวเองพิสูจน์พอร์ตกับตลาดเป็นเวลาประมาณ 3 – 5 ปี หากยังแพ้ตลาดอย่างต่อเนื่อง ผมก็สัญญากับตัวเองว่าจะเอาเงินไปซื้อดัชนีแทนการลงทุนเอง เพราะการลงทุนในหุ้นด้วยตัวเองต้องใช้ทั้งเวลา ความรู้ และความพยายามอย่างมาก หากผมไม่ประสบความสำเร็จ ผมก็ควรจะเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดให้ตัวเอง
ดังนั้น นักลงทุนทุกคนควรเปรียบเทียบตัวเองกับตลาดเสมอ
ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะตลาด ผลที่เกิดขึ้นก็ควรจะมีค่าต่อการวางแผนในอนาคตทั้งนั้น หากชัดเจนมากว่าเล่นหุ้นเองมาหลายปีติดกันและแพ้ตลาดอย่างต่อเนื่องทุกปี แบบนี้ก็ควรจะแบ่งเงินไปซื้อกองทุนดัชนีดีกว่า อาจจะเหลือไว้บางส่วนเพื่อลงทุนเป็นความสุขหรือเป็นงานอดิเรกส่วนบุคคล
วอร์เรน บัฟเฟต นักลงทุนอันดับหนึ่งของโลกยังเคยให้คำแนะนำไว้ว่า หากไม่พร้อมจะศึกษาการลงทุนอย่างจริงจังก็ควรเอาเงินไปซื้อกองทุนดัชนีเสียยังดีกว่า
ลงทุนศาสตร์ – Investerest
ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , OFFICIAL LINE และ WEBSITE
พิเศษ! เข้ากลุ่มเรียนหุ้นออนไลน์ฟรีกับลงทุนศาสตร์แบบไม่มีเงื่อนไขได้ที่ : เรียนหุ้นฟรีกับลงทุนศาสตร์
อัพเดทล่าสุดเมื่อ :