ธุรกิจ

ผลการควบรวมกิจการกับแนวโน้มของ CPALL และ MAKRO

CPALL และ MAKRO

CPALL และ MAKRO ถือเป็นหุ้นที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันจนแทบแยกอ่อนจากกันไม่ได้ โดย CPALL ครองสถานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ MAKRO ในสัดส่วน 97.88% ทำให้ CPALL ต้องทำงบการเงินรวมโดยนำงบการเงินของ MAKRO มาอยู่ในงบการเงินรวมด้วย

 

CPALL ทำธุรกิจหลักคือร้านสะดวกซื้อ 7-eleven (เซเว่นอีเลฟเว่น) ลักษณะของร้านสะดวกซื้อคือเน้นขายความสะดวก อัตราการทำกำไรค่อนข้างสูง ถ้าเทียบกับร้านค้าปลีกที่ขายสินค้าประเภทเดียวกันลักษณะอื่น

 

MAKRO ทำธุรกิจหลักคือร้านค้าส่งสินค้าราคาถูก Makro (สยามแมคโคร) ลักษณะของร้านค้าส่งสินค้าราคาถูกเน้นขายสินค้าจำนวนมากแต่ราคาถูก รายได้จะมีแนวโน้มสูงเทียบกับจำนวนสาขา แต่อัตราการทำกำไรจะต่ำ เนื่องจากเน้นขายที่ปริมาณ

 

CPALL ควบรวมกิจการ MAKRO เข้ามาตอนกลางปี 2013 งบของ CPALL จึงเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ 2013 เป็นต้นไป

 

CPALL และ MAKRO

 

ในระยะต้นหลังควบรวมคือ รายได้เติบโตขึ้นอย่างมาก จาก 197,195 ล้านบาทในปี 2012 ไปเป็น 284,230 ล้านบาทในปี 2013 และ 370,749 ล้านบาทในปี 2014 คิดเป็นการเติบโต 44.14% และ 30.44% ตามลำดับ ในขณะที่ปีถัดๆ มา เติบโตในระดับ 9.44, 11.31 และ 8.31% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนไปตามแนวโน้มของเซเว่นอีเลฟเว่นและสยามแมคโครที่เริ่มดำเนินไปตามปรกติ

 

จุดที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่งคือปริมาณหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก

 

ค่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ DE ของ CPALL เพิ่มสูงขึ้นมากในปี 2013 ถึง 9.43 เท่า กระโดดจากปี 2012 ที่มีค่า DE เพียง 1.65 เท่า โดยอัตราส่วนนี้มีสัดส่วน DE ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากจุดสูงสุดในปี 9.46 เท่า เป็น 7.70, 5.30 และ 3.72 เท่าตามลำดับ

 

อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยจ่ายของ CPALL ไม่ได้ลดลงมากนัก จากปีที่ควบรวม MAKRO ที่มีดอกเบี้ยจ่าย 2,214.03 ล้าน กระโดดขึ้นมาเป็น 8,518.49 8,585.50 8,442.32 และ 7,992.60 ตั้งแต่ปี 2014 – 2017 สังเกตว่าแนวโน้มดอกเบี้ยจ่ายมีแนวโน้มลดลง แต่ไม่มากเท่ากับการลดลงของ DE

 

เหตุผลสำคัญคือค่า DE ที่ลดลงอย่างรวดเร็วนั้นเป็นเหตุผลมาจากที่ CPALL ได้รับกำไรสะสมในแต่ละงวดมาจ่ายหนี้เดิมส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการที่บริษัทออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน หรือที่เรียกว่า Perpetual Bond ซึ่งเมื่อครบกำหนดเวลา หุ้นกู้ดังกล่าวจะย้ายการลงบัญชีจากฝั่งหนี้สินไปอยู่ฝั่งส่วนของผู้ถือหุ้น เพราะมีลักษณะหลายประการคล้ายทุนมากกว่าหนี้ ปัจจัยดังกล่าวทำให้ค่า DE ลดลงอย่างรวดเร็ว แม้ดอกเบี้ยจ่ายไม่ลดลงมากนัก

 

ลักษณะที่สำคัญหนึ่งที่ควรสังเกตจากการควบรวม CPALL และ MAKRO คืออัตราการทำกำไร

 

ธุรกิจร้านสะดวกซื้อของ CPALL มีอัตราการทำกำไรขั้นต้นอยู่ที่ประมาณ 30% ในขณะที่ธุรกิจร้านค้าส่งของ MAKRO มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ประมาณ 10% ก่อนควบรวม CPALL มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29.0% แต่หลักควบรวมก็ลดลงมาสู่ระดับ 24.1% ก่อนจะกลับขึ้นมายืนที่ 25.2% อีกครั้งได้ในปี 2017

 

ตัวเลขที่น่าสนใจมากอีกตัวหนึ่ง คือ อัตรากำไรสุทธิ หรือ NPM ที่ก่อนควบรวม CPALL เคยทำได้สูงถึงระดับ 5.6% ก่อนจะลดลงมาเหลือ 2.8% หลังควบรวม จนกลับมายืนที่ 4.1% ได้อีกครั้งในปี 2017 การฟื้นตัวของ NPM แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการจัดการภาระดอกเบี้ยจ่ายและการบริหารการทำกำไรของกลุ่มสินค้าในเครือบริษัทที่ดีขึ้น แนวโน้มดังกล่าวถือว่าดูดีขึ้น หลังจากอัตราการทำกำไรของบริษัทถูกกดดันมาเป็นเวลานาน

 

กำไรสุทธิของ CPALL ถูกกดดันหนักในช่วงปีที่ควบรวมกิจการ 2013 – 2014 แต่ภายหลังก็เริ่มแสดงการเติบโตต่อเนื่อง โดยกำไรสุทธิของ CPALL มีการเติบโตถึง 34.14% 21.88% และ 19.38% ในช่วง 2015 – 2017 ที่ผ่านมา

 

ภาพรวมของ CPALL จึงอาจจะเรียกได้ว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากการถูกกดดันอย่างหนักในช่วงการควบรวมกิจการ MAKRO ในช่วงแรก สะท้อนออกมาในภาพของอัตราการทำกำไรที่ดีมากขึ้น และกำไรสุทธิที่เติบโตขึ้น แต่ DE ที่ลดลงมากเกิดจากการย้ายการลงบัญชีของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลงไม่มาก แต่บริษัทก็อาจจะหันมาคงลักษณะดอกเบี้ยจ่ายแถวระดับนี้ไว้ และเติบโตจากการใช้อัตราทดของหุ้นกู้ต่อไป

 

บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาชี้นำว่าหุ้น CPALL ดีหรือไม่ดี แต่มองว่าเป็นกรณีศึกษาที่ดีที่จะใช้ในการมองภาพงบการเงินที่มีการเปลี่ยนแปลงมากจากปัจจัยของการควบรวมกิจการที่นักลงทุนอาจจะไม่ได้เห็นได้บ่อยนัก

 

ลงทุนศาสตร์ – Investerest

ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , OFFICIAL LINE และ WEBSITE

 

พิเศษ! เข้ากลุ่มเรียนหุ้นออนไลน์ฟรีกับลงทุนศาสตร์แบบไม่มีเงื่อนไขได้ที่ : เรียนหุ้นฟรีกับลงทุนศาสตร์

อัพเดทล่าสุดเมื่อ :

เกี่ยวกับผู้เขียน

ลงทุนศาสตร์

ผมเขียนบทความเกี่ยวกับการลงทุนตั้งแต่เบื้องต้น เหมาะสำหรับผู้ลงทุนหรือผู้ที่มีความสนใจที่จะลงทุนที่รักหรือมีทีท่าว่าจะรักในศาสตร์ของการลงทุนเหมือนกัน