เส้นทางการเจริญเติบโตของ Marvel และปรัชญาสำคัญ 4 ข้อในการทำงาน

นับตั้งแต่ปี 2009 ที่ดิสนี่ย์ซื้อมาร์เวลเข้ามาในเครือข่ายความดูแลของบริษัท ในปีแรก ทำกำไรได้สี่พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ในอีกสิบปีต่อมาทำกำไรได้ถึง 18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยยึดคติ 4 ข้อ
ตอนเริ่มมีการผลิตและกระจ่ายแจกจ่ายหนังมาร์เวล โดย The House of Mouse กระจายออกไป 16 เครือข่ายหนัง จำนวน 23 เรื่อง

ศตวรรษที่แล้ว คอหนังได้ทำความรู้จักกับ Tony Stark เพลย์บอย พูดเร็ว รวย นำแสดงโดย Robert Downey Jr. หนังเรื่อง Iron Man เข้าสู่โรงหนังในปี 2008 เป็นคู่แข่งสำคัญกับอีกค่ายหนัง DC ซึ่งตอนนั้นปล่อยเป็น Batman ซึ่งมีลักษณะแตกต่างออกไป แสดงโดย Christopher Nolan ที่มีความดาร์ค ลึกลับ

ในอาทิตย์ที่เปิดตัว Iron Man ได้รับรายรับร้อยกว่าล้าน หลังจากนั้นกระจายออกไปทั่วโลก 600 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้นดิสนีย์ก็พยายามในการเจริญเติบโตขึ้นอีกโดยที่ Marvel เข้าไปทำสัญญากับ Paramount และ Universal ภายใต้จักรวาล Marvel ซึ่งในขณะนั้น CEO ของ Marvel ได้ทำการซื้อลิขสิทธิ์หนังสือการ์ตูนเป็นจำนวน 4 ล้านดอลลาร์ การซื้อหนังสือการ์ตูนครั้งนี้เป็นการเดินเกมส์ที่สำคัญมาก เพราะได้ตัวละครกว่าห้าพันตัวและเรื่องราวอีกนับไม่ถ้วน

นับตั้งแต่การผลิตหนัง Marvel ในปี 2012 บริษัทได้รับมากกว่า 18.2 พันล้าน และกำลังไต่ขึ้นอีกมากขึ้นเรื่อย ๆ

ดิสนีย์ได้ผลิตหนัง 16 เรื่องร่วมกับ Paramount ได้แก่ Iron Man, Captain America, The First Avenger, Iron Man2, The Incredible Hulk เป็นหนังชุดแรกที่นำเสนอเรื่องราวในจักรวาล Marvel

ในขณะที่ไม่นานมานี้ Sony จับมือกับดิสนีย์ผลิตหนังสือ Spider Man- Home Coming and Far From Home

นอกจากนั้นยังมีความพยายามสร้างตัวละครที่แหวกแนว สร้างเส้นเรื่องแบบใหม่ที่ข้ามผ่านภาพขนบของซุปเปอร์ฮีโร่แบบเดิมอย่าง Black Panther

โดยสรุป หนังทั้งหมดในจักรวาล Marvel ได้สร้างรายได้มากกว่า 22 พันล้านบาท

หลักการความสำเร็จ 4 ข้อของมาร์เวลได้แก่
1. เลือกสร้างประสบการณ์ที่ไม่เคยมีใครประสบ
2. งัดเอาใจความหลักจริง ๆ ออกมาขยาย
3. ท้าทายหลักการเดิมไปเรื่อย ๆ
4. สร้างความสงสัยใคร่รู้ให้กับผู้ติดตามอยู่เสมอ

การทำงานของนักแสดงกว่า 1,023 คน และผู้คนหลังกล้องกว่า 25,853 นำมาสู่ความสำเร็จของจักรวาล Marvel ด้วยหัวใจการทำงานปรัชญา 4 ข้อที่ว่า ทำให้ Marvel ประสบความสำเร็จในตลาดหนังเป็นอย่างยิ่ง