สไตล์การลงทุนของ Benjamin Graham และ Philip Fisher เปรียบเทียบจากมุมมองของ Warren Buffett
ทั้ง Benjamin Graham, Philip Fisher และ Warren Buffett ต่างก็เป็นสุดยอดนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ Benjamin Graham (ค.ศ.1894-1976) ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) [1] ในขณะที่ Philip Fisher (ค.ศ.1907-2004) ได้รับการนับถือในฐานะผู้บุกเบิกกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นเติบโต (growth investment) [2] ส่วน Warren Buffett (ค.ศ. 1930-ปัจจุบัน) ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะมหาเศรษฐีนักลงทุน และนับเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก [3]
ในการประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่นี้ Warren Buffett ไม่ได้เติบโตขึ้นได้จากตนเองเพียงคนเดียว แต่เขาได้เรียนรู้จากทั้ง Benjamin Graham และ Philip Fisher เป็นที่รู้กันดีว่า Warren Buffett เรียนรู้กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่ามาจาก Benjamin Graham ในขณะเดียวกัน เขายังได้เรียนรู้การรอคอยจังหวะเพื่อลงทุนโดย Philip Fisher โดยเขาได้ประยุกต์คำกล่าวของ Philip Fisher ที่ว่า The best time to sell a stock is “almost never.” ไปใช้เป็นกลยุทธ์การลงทุนของตัวเอง ในคำกล่าวที่ว่า “Favorite holding period is forever.” [4]
Warren Buffett ได้เคยกล่าวไว้ว่า สไตล์การลงทุนของเขา ร้อยละ 85 มาจาก Benjamin Graham และอีกร้อยละ 15 ที่เหลือมาจาก Philip Fisher [4] ทั้งนี้ เมื่อ Warren Buffett ถูกถามอีกครั้งในการสัมภาษณ์ดังที่เผยแพร่ในช่อง Simple Ideas Academy [5] เขาได้ขยายความเพิ่มเติมว่า การแบ่งตัวเลขร้อยละนี้อาจเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อเขาย้อนพิจารณาดูอีกครั้งหนึ่ง สไตล์การลงทุนของตัวเขาเองทั้งได้มาจาก Benjamin Graham และ Philip Fisher เขาเรียนรู้ทั้งจากสิ่งที่นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่สองคนนี้ทำและไม่ทำ
ในมุมมองของ Warren Buffett หลักการลงทุนของ Benjamin Graham และ Philip Fisher มีความขัดแย้งกันชัดเจน Benjamin Graham ใช้หลักการลงทุนด้วยการเลือกซื้อหุ้นจากบริษัทในราคาที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง โดยกระจายซื้อหุ้นจากบริษัทจำนวนมาก เมื่อรอคอยถึงจุดที่บริษัททำกำไรให้ได้มากกว่ามูลค่าที่ซื้อไป นักลงทุนก็จะได้กำไรจากการลงทุนนั้น แนวคิดนี้เป็นแนวทางที่เข้าใจง่าย แต่อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนไม่ได้มีเงินลงทุนมากเพียงพอ ก็อาจไม่สามารถรอคอยให้บริษัทที่ซื้อไปในราคาต่ำฟื้นตัวขึ้นมาทำกำไรได้
ส่วนการลงทุนของ Philip Fisher เน้นไปที่การเลือกลงทุนในบริษัทที่ดีตั้งแต่แรกและถือครองหุ้นไว้เพื่อคอยรับผลกำไร นักลงทุนไม่จำเป็นต้องลงทุนในบริษัทจำนวนมาก เพียงแต่เลือกบริษัทที่ดีและรอคอยผลตอบแทนเท่านั้น Warren Buffett มองว่าหลักการนี้ก็เป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนเช่นเดียวกัน แต่นักลงทุนที่จะประยุกต์ใช้หลักการนี้ได้ต้องมีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์บริษัทต่าง ๆ จนกว่าจะเลือกบริษัทที่ดีเพื่อลงทุนได้ ดังนั้น หลักการของ Benjamin Graham จึงอาจดูง่ายต่อการใช้สอนเพื่อเป็นแนวทางให้แก่นักลงทุนได้มากกว่า
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลักการลงทุนของทั้ง Benjamin Graham และ Philip Fisher ล้วนแล้วแต่เป็นแนวทางที่สำคัญที่นักลงทุนควรศึกษา ไม่อาจกล่าวได้ว่าแนวทางใดดีที่สุด นักลงทุนต้องเรียนรู้จนเกิดความเข้าใจ และเลือกประยุกต์ใช้หลักการลงทุนให้เหมาะสมกับตนเอง
ลงทุนศาสตร์ – Investerest
ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , OFFICIAL LINE และ WEBSITE
พิเศษ! เข้ากลุ่มเรียนหุ้นออนไลน์ฟรีกับลงทุนศาสตร์แบบไม่มีเงื่อนไขได้ที่ : เรียนหุ้นฟรีกับลงทุนศาสตร์
อ้างอิง
[1] Chen, J. (September 24, 2020).Benjamin Method. Retrieved from https://www.investopedia.com/terms/b/benjamin-method.asp
[2] Chen, J. (April 05, 2022). Who Was Philip Fisher?. Retrieved from https://www.investopedia.com/terms/p/philip-fisher.asp
[3] THE INVESTOPEDIA TEAM. (April 19, 2022). Warren Buffett: How He Does It. Retrieved from https://www.investopedia.com/articles/01/071801.asp
[4] Hess, A.J. (January 26, 2018). These 3 people shaped Warren Buffett’s investing style. Retrieved from https://www.cnbc.com/2018/01/26/these-3-people-shaped-warren-buffetts-investing-style.html
[5] Simple Ideas Academy. (April 23, 2022). Simple Ideas Academy. Retrieved from https://www.youtube.com/watch?v=eFzBaK7KyeI
อัพเดทล่าสุดเมื่อ :