หุ้นปันผลกับวิกฤต
ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดหุ้นที่ลงหนักจนเราแทบจะสูญสิ้นซึ่งความหวังจากการลงทุน ทั้งการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการขายหุ้น (Unrealized Loss) หรือแม้แต่การห่อเหี่ยวใจเวลาเห็นเพื่อน ๆ บางคนได้กำไรจากหุ้นที่คุณไม่ได้ถือ
ซึ่งในสภาวการณ์นี้ ตลาดในช่วงปี พ.ศ. 2566-2567 ที่ผ่านมานี้ ตลาดหุ้นไทยนั้นยากจริง จนหลายคนเริ่มถอดใจออกจากตลาดไปแล้ว และในวันนี้ผมก็อยากนำเสนอหุ้นกลุ่มหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นที่พักใจให้นักลงทุนได้ หากคุณเป็นนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดเสมอ ๆ มาให้คุณใช้จ่ายในยามที่ตลาดร่วงโรย หรือร่าเริง กับ “หุ้นปันผล”
จากบทความ Do Dividend Stocks Provide Shelter From Recession? ของ Morningstar ได้บอกกับเราว่าบริษัทใหญ่ ๆ มีความแข็งแกร่งนั้น ‘มีแนวโน้มที่ระรักษาการจ่ายเงินปันผลให้ได้อย่างสม่ำเสมอ’ ส่วนหนึ่งมาจากคณะกรรมการบอร์ดของบริษัทซึ่งมาจากการเลือกจากผู้ถือหุ้นอีกทีหนึ่ง ต้องการที่จะให้บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลเสมอ ๆ แม้ในสภาวะวิกฤติ
ทั้งนี้ การที่ผู้บริหารได้จ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุนในยามที่มืดหม่นนี้เอง ก็เป็นการสื่อสารให้กับตลาดได้ทราบกลาย ๆ ด้วย ว่าผู้บริหารเองยังคงมีความมั่นใจในธุรกิจว่ายังคงมีความจีรังยั่งยืน มีเงินสดมากพอที่จะจ่ายให้กับคุณนักลงทุนได้ โดยจากข้อมูลของ Goldman Sachs ได้ให้ข้อมูลเพื่อยืนยันกับเราว่านับตั้งแต่หลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งผ่านภาวะเศรษฐกิจถดถอยมาแล้วกว่า 12 ครั้ง การลดลงของเงินปันผลจ่ายโดยบริษัทจาก S&P 500 นั้น ลดลงเพียง 1% เท่านั้น
ใน 5 จาก 12 ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ไม่มีการลดลงของเงินปันผลเลย แต่มี 2 ครั้งเท่านั้นที่บริษัทส่วนหนึ่งใน S&P 500 มีการงดจ่ายเงินปันผลนั่นคือ ปี ค.ศ. 2008 วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ และ ค.ศ. 2020 วิกฤติโควิด เท่านั้น แต่ถึงแม้ว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลน้อยลง แต่ก็นับว่าช่วยให้เราสบายใจได้ว่าเราจะได้กระแสเงินสดมาจุนเจือช่วงวิกฤติแน่นอน
แต่คงจะดีกว่านี้ หากเราเลือกหุ้นปันผลมาจัดใส่พอร์ตได้ โดย Mackenzie Investments ได้แนะนำการลงทุนในหุ้นปันผลโดยมีวิธีเลือกหุ้น 4 ข้อดังต่อไปนี้
1. เลือกบริษัทที่มีรายได้ (Revenue Stream) และโมเดลธุรกิจที่ชัดเจน
การที่บริษัทมีแหล่งรายได้ที่ชัดเจน มีความสม่ำเสมอในการส่งมอบสินค้าและบริการ และสินค้าและบริการนั้นเป็นที่ต้องการเสมอ ๆ เพราะว่าการที่บริษัทมีรายได้ที่มีความสม่ำเสมอ ก็หมายความว่าเงินปันผลนั้นก็สามารถส่งมอบมาถึงเราได้เรื่อย ๆ ด้วยนั่นเอง และเหนือกว่าการที่บริษัทนั้นมีความสม่ำเสมอในด้านของรายได้แล้ว หากบริษัทมีความสามารถในการทำกำไร (เช่นอัตราส่วน Gross Margin ,Operating Margin) และผลตอบแทนจากเงินลงทุนที่ดี (เช่น ROE, ROIC) เพราะว่าการมีคุณสมบัตร 2 ข้อนี้ ทำให้บริษัทสามารถชดเชยแรงกดดันจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้จากภาวะเงินเฟ้อได้ เมื่อเทียบกับบริษัทที่ Margin ต่ำ ไม่สม่ำเสมอ โดยตัวอย่างที่ทาง Mackenzie ได้แนะนำคือ Coca-Cola ผู้ผลิตน้ำอัดลมที่เราคุ้นหู และ Aon บริษัทประดันรายใหญ่ระดับโลก
2. เลือกบริษัทที่ทีมบริหารมีความมุ่งมั่นที่จะคงนบายการจ่ายเงินปันผล
อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ว่าหากบริษัทมีคณะกรรมการบอร์ดบริหารที่มุ่งเน้นให้บริษัทจ่ายปันผลให้กับนักลงทุนได้ เราเองก็อาจจะเบาใจในเรื่องการบริหารจัดสรรค์เงินทุนของบริษัทที่มุ่งเน้นมาที่การจ่ายเงินปันผล หรือแม้แต่การซื้อหุ้นคืนให้ผู้ถือหุ้น รวมถึงการรักษาศักยภาพในการแข่งขันเพื่อให้บริษัทยังคงจ่ายเงินปันผลได้สม่ำเสมอ
3. เลือกบริษัทที่มีวงจรธุรกิจที่เหมาะสม
ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทเองก็มีช่วงอายุของเขา ช่วงเวลาตั้งไข่ บริษัทอาจจะต้องเอาเงินสดเพื่อที่สร้างการเติบโตให้กับตัวเอง เพื่อหาลูกค้า ลงทุนกับเครื่องจักรอุปกรณ์ รวมถึงงบโฆษณาเพื่อที่ให้สินค้าติดตลาด แน่นอนว่าหากเราลงทุนในช่วงนี้โอกาสที่เราได้เงินปันผลมาอาจจะเป็นเรื่องที่ยากไปเสียหน่อย
แต่หากเราเลือกบริษัทที่มีความอยู่ตัว มีรายได้สม่ำเสมอ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานมากกว่ากระแสเงินสดที่ลงไปกับงบลงทุน (Capital Expenditure) อย่างมีนัยสำคัญ ก็มีโอกาสที่บริษัทนั้นจะเพิ่มเงินปันผลให้กับเราได้ในอนาคตข้างหน้า โดย Mackenzie เองก็ได้ยกตัวอย่างบริษัท Visa ซึ่งเป็นธุรกิจเครือข่ายการทำธุรกรรมการเงินที่เชื่อมโลกไว้ทุกจุด ว่าบริษัทลักษณะนี้เองมีโอกาสที่จะสามารถเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลได้ด้วย เพราะว่าต้นทุนหลักเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจนั้นได้ถูกวางไว้เมื่อหลายขวบปีแล้ว
4. พิจารณาความแตกต่างในเรื่องของภูมิภาค
ข้อนี้อาจจะไม่ใช่ข้อแนะนำโดยตรง แต่ทาง Mackenzie ได้ให้ข้อสังเกตว่าบริษัทโซนยุโรปเองมีแนวโน้มที่จะมีบริษัทที่จ่ายเงินปันผลสูงกว่าในอเมริกา ส่วนหนึ่งเพราะว่าโครงสร้างบริษัทขนาดใหญ่ในอเมริกานั้นปกคลุมไปด้วยบริษัทเทคโนโลยีเติบโตสูงที่จ่ายเงินปันผลน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี
กลับกันในฟากของประเทศยุโรปเองจะมีบริษัทด้านการเงินที่ฝังรากลึกในระบบเศรษฐกิจ และหุ้นเก่าแก่ที่อาจจะไม่ได้หวือหวามากนักพร้อมจ่ายเงินปันผลให้นักลงทุนมากกว่าทางฟากฝั่งอเมริกา ดังนั้นแล้ว หากต้องการหาทุ่งหญ้าที่แม่ห่านทองคำอาศัยอยู่ การพิจารณาทำเลทวีปเองก็อาจจะเป็นเรื่องจำเป็นเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้ว การลงทุนในหุ้นปันผลช่วงภาวะวิกฤติเอง นับว่าเป็นการลงทุนที่เราสามารถเบาใจได้ว่าเราลงทุนในบริษัทที่แข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอมาจุนเจือเราในยามที่ตลาดร่วงโรย แม้ว่าพอร์ตเราจะลง แต่เรายังพอมีเงินไหลเข้าบัญชีเสมอ เปรียบดั่งการที่เราได้ส่วนแบ่งจากการดำเนินงานจากธุรกิจอย่างแท้จริง
ผมเองหวังว่าสภาวการณ์นี้จะหายไปในไม่ช้า และอยากให้ทุกคนมองว่าช่วงเวลานี้อาจเป็นโอกาสในการลงทุนหาหุ้นราคาน่ารักลงทุนเพื่อเก็บเป็นเงินปันผลเพื่อหล่อเลี้ยงตัวตนคุณในอนาคตได้
ลงทุนศาสตร์ – Investerest
ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , และ WEBSITE
https://www.morningstar.com/markets/do-dividend-stocks-provide-shelter-recession
https://www.barrons.com/articles/dividend-stocks-recession-51657285544
https://www.mackenzieinvestments.com/en/institute/insights/the-re-emergence-of-dividends
อัพเดทล่าสุดเมื่อ :