![](https://www.investerest.co/wp-content/uploads/2020/03/S__61325518.jpg";)
ย้อนอดีต Charlies Munger และ ตำนานช็อกโกแลตทองคำ See’s Candies
หากพูดถึงหนึ่งในนักลงทุนที่เก่งที่สุดในโลก คนเกินครึ่งอาจเอ่ยชื่อของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ชายผู้สร้างอาณาจักร Berkshire Hathaway ที่มีเงินในกระเป๋ากว่า 70,000 ล้านเหรียญ และเมื่อพูดถึงบัฟเฟตต์ คนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้เขาจริงๆ ก็จะต้องนึกถึงชื่อของคนอีกคนหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ ชาร์ลี มังเจอร์
ในเรื่องของคาแรคเตอร์นั้น บัฟเฟตต์ค่อนข้างเป็นคนที่เปิดตัวกับสื่อบ่อยกว่ามังเจอร์ เราจึงไม่ค่อยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเขาเท่าไหร่นักว่ามีประสบการณ์การลงทุนยังไง เคล็ดลับอะไรบ้าง หรือซื้อขายหุ้นอะไร ยกเว้นก็แต่เขาจะบอกผ่านการประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire ที่จัดขึ้นทุกปีในเมืองโอมาฮา
แต่เชื่อเถอะว่า ถ้าไม่มีชายที่ชื่อ ชาร์ลี มังเจอร์ อาณาจักร Berkshire Hathaway อาจไม่ยิ่งใหญ่เหมือนทุกวันนี้ก็ได้ เพราะเขาเป็นคนที่โน้มน้าวให้บัฟเฟตต์หันมาลงทุนใน “หุ้นเติบโต” ที่กิจการมีโอกาสเติบโตอีกมาก ยอมจ่ายแพงหน่อยแต่ได้ของดี แทนที่จะซื้อ “หุ้นราคาถูก” โดยไม่ได้สนใจตัวกิจการแม้แต่น้อย
และหุ้นตัวแรกที่มังเจอร์แนะนำบัฟเฟตต์ ก็คือบริษัท See’s Candies
See’s Candies คือร้านขายขนมหวานที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1921 แม้จะมีชื่อที่แปลว่าร้านลูกกวาด แต่ปัจจุบันสินค้าหลักของบริษัทคือช็อกโกแลต
มังเจอร์พบเจอกับบริษัทนี้ในปี 1972 หรือตอนที่บริษัทมีประมาณ 50 ปีพอดี ซึ่งในช่วงนั้น See’s Candies ก็มีร้านขนมแสนอร่อยแล้วกว่า 167 สาขา สิ่งที่เตะจมูกมังเจอร์จริงๆ ไม่ใช่กลิ่นช็อกโกแลตหอมๆ ที่เพิ่งออกมาจากแท่นพิมพ์ แต่เป็นตัวแบรนด์ของ See’s Candies เองที่มีความแข็งแกร่งมากเสียจนบริษัทขึ้นราคาขายก็ยังมีคนซื้อ
โดยปี 1972 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 31 ล้านเหรียญ และกำไรสุทธิอีก 2 ล้านเหรียญ แถมไม่มีหนี้สินเลย ทั้งหมดนี้เองคือสิ่งที่มังเจอร์สนใจ เขาจึงนำไอเดียนี้ไปบอกกับบัฟเฟตต์
บัฟเฟตต์ในช่วงนั้นยังนิยมชมชอบหุ้นราคาถูกมากๆ หรือเรียกอีกอย่างว่าหุ้นก้นบุหรี่ เพราะเขาจะมองหาบุหรี่ฟรีๆ ที่หล่นอยู่ตามพื้นขึ้นมาสูบ ถึงแม้มันจะฟรี แต่มันก็สูบได้อีกปื้ดสองปื้ดก็หมดค่า เพราะมันคือหุ้นก้นบุหรี่ตามชื่อ
แต่ในกรณีของ See’s Candies นี่ไม่ใช่บริษัทก้นบุหรี่ มันคือไปป์ทองคำในสายตาของมังเจอร์ด้วยซ้ำ เพราะต้องไม่ลืมว่า บริษัทนี้มีรายได้และกำไรที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ก่อตั้งมาแล้วกว่าครึ่งศตวรรษ และแบรนด์ของบริษัทก็แข็งแกร่งมาก ราคาที่จะซื้อมันจึงไม่มีทางถูกเหมือนที่บัฟเฟตต์เคยทำ แต่อย่างน้อย การซื้อของดีในราคาที่เหมาะสม ถ้ากิจการดีจริงและเติบโตได้อีก ราคานี้ก็จะกลายเป็นราคาที่ถูกในวันข้างหน้า
ที่สุดแล้ว ไอเดียของมังเจอร์ก็ทำให้บัฟเฟตต์เริ่มเปลี่ยนมุมมองได้สำเร็จ และเข้าซื้อช็อกโกแลตแสนอร่อยนี้ในราคา 25 ล้านเหรียญ หรือมากกว่ากำไรสุทธิในปีนั้นถึงประมาณ 12 เท่าตัว
พอถึงปี 1984 See’s Candies ก็มีรายได้กว่า 136 ล้านเหรียญ และกำไรที่สูงถึง 25 ล้านเหรียญ ของแพงในวันนั้นกลายเป็นของราคาถูกอย่างเหลือเชื่อเมื่อเวลาผ่านไป กำไรในปี 1984 เพียงปีเดียวก็มากกว่าเงินที่จ่ายเพื่อซื้อบริษัทนี้แล้ว
ซึ่งผลตอบแทนที่ได้จากการทำตามคำแนะนำของมังเจอร์ไม่ได้มีแค่ตัวเงินเพียงอย่างเดียว เพราะนับจากนั้นมา บัฟเฟตต์ก็เปลี่ยนแนวทางการลงทุนทีละน้อย จากเดิมที่หาแต่ของราคาถูก มาเป็นการหาหุ้นที่ดีและจ่ายในราคาที่ใช่ จนก่อให้เกิดสุดยอดการลงทุนของบัฟเฟตต์อีกหลายต่อหลายครั้ง หนึ่งในนั้นก็คือการซื้อหุ้น Coca-Cola เมื่อปี 1988 ด้วยเงิน 1 พันล้านเหรียญ จนปัจจุบันนี้มีมูลค่ากว่า 20,000 ล้านเหรียญ
ส่วนบริษัท See’s Candies น่าเสียดายที่ในรายงานประจำปีของ Berkshire Hathaway ไม่ได้บอกไว้ว่าตอนนี้บริษัทดังกล่าวมีรายได้หรือกำไรอยู่ที่เท่าไหร่ แต่เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บัฟเฟตต์ได้บอกกับสื่อว่าร้านขนมหวานแสนอร่อยแห่งนี้ทำเงินให้กับเขากว่า 2,000 ล้านเหรียญ
ไม่แน่ว่า บัฟเฟตต์อาจจะไม่ยอมจ่ายเงิน 25 ล้านเหรียญเพื่อซื้อไปป์ทองคำและยังคงหาบริษัทก้นบุหรี่ต่อไปแน่ๆ หากไม่ได้คำแนะนำจากเพื่อนคู่คิดอันแสนปราดเปรื่องของเขา ชาร์ลี มังเจอร์ ชายผู้นำพาโรงงานช็อกโกแลตทองคำมาสู่อาณาจักร Berkshire Hathaway
ลงทุนศาสตร์ – Investerest
ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , OFFICIAL LINE และ WEBSITE
พิเศษ! เข้ากลุ่มเรียนหุ้นออนไลน์ฟรีกับลงทุนศาสตร์แบบไม่มีเงื่อนไขได้ที่ : เรียนหุ้นฟรีกับลงทุนศาสตร์
เอกสารอ้างอิง
The Full See’s Candies Story: People & Product : community.intelligentfanatics.com
See’s Candies Case Study : valuewalk.com
Charlie Munger on See’s Candies : gurufocus.com
Warren Buffett defends See’s Candies’ performance : bizjournals.com
อัพเดทล่าสุดเมื่อ :
