PTTGC และ Sunk Cost ผิดพลาดเพราะทุนจม

PTTGC หรือบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทในเครือ PTT ซึ่ง หุ้นPTTGC ทำธุรกิจเกี่ยวกับปิโตรเคมี ซึ่งมีต้นสายวัตถุดิบมาจากอุตสาหกรรมพลังงาน

หุ้นPTTGC ถือเป็นบริษัทที่แทบจะเรียกได้ว่าอยู่ในวงจรของภาวะโภคภัณฑ์อย่างเต็มตัว ทั้งในแง่ของต้นทุน ที่ก็มาจากอุตสาหกรรมน้ำมันที่ผันผวน ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้ ก็มักจะไม่ได้มีแบรนด์อะไรเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าตั้งราคาได้ยาก และราคาก็ผันผวนไปตามกลไกโลกเป็นสำคัญ

ถ้า JAS เป็นการคัทลอสแรกในชีวิตของผม หุ้นPTTGC ก็ถือเป็นดอยแรกในชีวิตผมเช่นกัน

หุ้นPTTGC ถือเป็นหุ้นเซตแรกในชีวิตที่ผมเข้าลงทุน แน่นอนว่าตอนนั้นผมยังเป็นเม่าเต็มตัว ไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับ หุ้นPTTGC รู้แต่ว่าราคาลงมามากจากจุดสูงสุด และ RSI เข้าเขต oversold คิดย้อนกลับไปแล้วก็ตลกมาก ตอนนั้นผมยังตอบไม่ได้ด้วยซ้ำเลยว่า ผลิตภัณฑ์ของ หุ้นPTTGC มีอะไรบ้าง ราคาน้ำมันมีผลต่อบริษัทอย่างไร หรือแม้กระทั่ง มูลค่าที่แท้จริงของบริษัทควรเป็นเท่าไหร่กัน

ถ้าจะถามว่าผมผิดพลาดตรงไหน ผมคงตอบได้ว่า “ทุกตรง” (ฮา)

เอาจริง ๆ คิดย้อนกลับไปยังตลกตัวเองว่าลงทุนไปได้อย่างไร เพราะแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทเลย ตอนนั้นคิดแค่ว่าบริษัทใหญ่ขนาดนี้ รอไปเดี๋ยวราคาก็กลับมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าราคาน้ำมันตอนนั้นเป็นอย่างไร ตลาดปิโตรเคมีเป็นอย่างไรบ้าง แต่ความผิดพลาดที่สุดคือ Sunk Cost คือการยึดติดกับต้นทุนจมนั่นเอง

อย่างที่บอกว่า หุ้นตัวนี้คือดอยแรกในชีวิต ทำให้ผมยึดติดกับราคาหุ้นที่ซื้อมามาก รู้อยู่แก่ใจว่าคิดผิดมาตลอดแต่ก็ยังดื้อรั้นที่จะรอขายที่ราคาที่ตัวเองซื้อมา ทั้งที่ความจริงราคาในอดีตก็เป็นสิ่งที่จบไปแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ และไม่มีผลต่ออนาคตใดๆ แม้แต่น้อย

หลังจากทนดอยอยู่นานมากจนบรรลุหลุดออกจากต้นทุนจมได้ ผมก็ยอมขายหุ้นออกไปที่ราคาแถว 54 บาทหรือคิดเป็นผลขาดทุนประมาณ 20% ความผิดพลาดครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์ชั้นเยี่ยมที่สอนให้ผมเรียนรู้เรื่องต้นทุนจมเป็นอย่างดี หลังจากนั้นเป็นต้นมาเมื่อถึงเวลาขายผมก็ขาย แทบจะไม่สนใจต้นทุนที่ซื้อมาเลย อย่างที่บอก ต้นทุนที่ซื้อมาก็คืออดีตที่ไม่มีค่าสำหรับการตัดสินใจ

จำได้ว่าคัท หุ้นPTTGC เป็นคัทลอสหลักแสนครั้งแรกในชีวิต ตอนนั้นคัทแล้วโหวงเลย ใจหาย หารู้ไม่ว่าอนาคต คัทลอสหลักล้านรอเราอยู่ในตลาดหุ้น (ฮา)

ขีดเส้นใต้ว่าบทความนี้เขียนขึ้นเพื่อบอกเล่าประสบการณ์ความผิดพลาดในการลงทุนเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาตัดสินว่าหุ้นหรือบริษัทดีหรือไม่ดี การลงทุนของแต่ละคนแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับบริบทแวดล้อมขณะนั้นมาก ต่างกรรมต่างวาระ ผลลัพธ์ก็แตกต่างออกไปมาก