วอร์เรน บัฟเฟต (Warren Buffett) คือนักลงทุนผู้ได้ชื่อว่าเป็นนักลงทุนอันดับหนึ่งของโลก หลายคนอาจจะได้รู้จักบัฟเฟตในมุมมองของการลงทุนระดับตำนานแบบหุ้น Mastercard กับวิกฤตน้ำสลัด หรือการซื้อหุ้นในช่วงวิกฤตอย่างวิกฤต Black Monday ในปี 1987 แต่ถ้าพูดถึง 5 หุ้นและการลงทุนที่ดีที่สุดของวอร์เรน บัฟเฟต อาจจะนึกภาพไม่ออกว่ามีอะไรบ้าง
Stephen Gandel ได้เขียนรวบรวมการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดของบัฟเฟตไว้ในหนังสือ Fortune ในปี 2014 วันนี้ลงทุนศาสตร์จึงหยิบมาสรุปให้อ่านกันว่า การลงทุนที่ว่าผลตอบแทนสูงของบัฟเฟตที่ว่ากันนี่มันสูงขนาดไหน
5 หุ้นและการลงทุนที่ดีที่สุดของวอร์เรน บัฟเฟต
1 Petro China
ผลตอบแทนเฉลี่ย : 52%
ผลตอบแทนรวม : 720%
จำนวนปีที่ถือครอง : 5 ปี
ถึงว่าปู่บัฟเฟตจะเป็นคนที่ “โปร” อเมริกามากแค่ไหน แต่หุ้นที่สร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดให้กับเขากลับเป็นหุ้นจีน โดยในปี 2002 – 2003 BRK ได้ทำการเข้าซื้อหุ้นพลังงานแห่งชาติของจีนอย่าง Petro China ในสัดส่วนสูงถึง 1.3% หรือคิดเป็นเงิน 488 ล้านเหรียญ
ขณะนั้นมูลค่ากิจการตามราคาตลาดของ Petro China อยู่ที่ 37 พันล้านเหรียญ แต่บัฟเฟตมองว่ามูลค่ากิจการอยู่ที่ 100 พันล้านเหรียญ ปู่จึงทำการเข้าลงทุนก่อนจะขายไปในปี 2007 เมื่อกิจการมีมูลค่ากว่า 275 พันล้าน สร้างผลตอบแทนให้กับ BRK สูงถึง 720% ภายในเวลา 5 ปี
2 BYD
ผลตอบแทนเฉลี่ย : 41%
ผลตอบแทนรวม : 671%
จำนวนปีที่ถือครอง : 6 ปี
หุ้นที่สร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดให้บัฟเฟตอันดับ 2 เกิดจากคำแนะนำของชาลี มังเกอร์ โดยชาลีแนะนำบริษัท BYD ซึ่งเป็นบริษัทผลิตแบตเตอรี่ในจีนให้กับบัฟเฟต เพราะชื่นชอบผู้บริหารอย่าง Wang Chuan-Fu มาก เรียกว่าเขาเหมือน Thomas Edison เลยทีเดียว
ในปี 2008 BRK เข้าซื้อ 10% ของบริษัท BYD ด้วยเงินกว่า 230 ล้านเหรียญ 6 ปีผ่านไป BYD กลายเป็นผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จในตลาดแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และหุ้นก็ให้ผลตอบแทนสูงถึง 671% (ปัจจุบัน BRK ยังถือหุ้นนี้อยู่ หากคิดผลตอบแทนทบต้นอาจต่ำกว่าในบทความนี้ แต่บทความนี้เลือกใช้ตัวเลขเก่า เพื่อให้เป็นการเปรียบเทียบในช่วงเวลาเดียวกัน)
3 Freddie Mac
ผลตอบแทนเฉลี่ย : 24%
ผลตอบแทนรวม : 1,525%
จำนวนปีที่ถือครอง : 13 ปี
Freddie Mac คือหุ้นการเงินที่เน้นการเปลี่ยนสินเชื่อเป็นหลักทรัพย์ เช่นการเปลี่ยนหนี้บ้านไปเป็นหลักทรัพย์ หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ reversed mortgage ที่เป็นต้นเหตุในการเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 Freddie Mac ถือเป็นหุ้นโปรดของบัฟเฟต ในขณะที่หุ้นพี่น้องของมันอีกตัวคือ Fannie Mae ก็ถือหุ้นโปรดของปีเตอร์ ลินซ์และสร้างผลตอบแทนที่ดีมากเช่นกัน
บัฟเฟตเริ่มลงทุนใน Freddie Mac ตั้งแต่ปี 1988 เขาลงทุนเป็นจำนวน 108 ล้านเหรียญ ตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่แถว 4 เหรียญต่อหุ้น (ปรับการแตกพาร์แล้ว) จนกระทั่งราคาหุ้นขึ้นไปสูงถึง 70 เหรียญต่อหุ้น บัฟเฟตขายหุ้นออกไปในปี 2003 ก่อนที่ภายหลังจะเกิดปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใสในบริษัท และเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 จนราคาหุ้นกลับมาอยู่แถวหลักหน่วยต้นๆ อีกครั้ง
4 Berkshire Hathaway
ผลตอบแทนเฉลี่ย : 22%
ผลตอบแทนรวม : 1,745,300%
จำนวนปีที่ถือครอง : 49 ปี
Berkshire Hathaway ถือเป็นตำนานที่มีชื่อเสียงที่สุดของวอร์เรน บัฟเฟต เขาซื้อหุ้นบริษัทผลิตผ้าซับในของเสื้อสูทเพราะว่าบริษัทมีราคาต่ำมากเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่มีอยู่ของกิจการ โดยบัฟเฟตเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่อประมาณ 7.5 เหรียญต่อหุ้น และมาซื้อเพิ่มขึ้นมากในช่วงประมาณ 12 เหรียญต่อหุ้น
ความแตกต่างกับความสำเร็จในการลงทุนครั้งอื่นคือ BRK มีผลประกอบการตกต่ำลงอย่างมาก ธุรกิจสิ่งทอตกต่ำลงเรื่อยๆ บัฟเฟตจึงเปลี่ยนสภาพบริษัทกลายเป็นโฮลดิ้งคัมพานีและใช้บริษัทไปซื้อกิจการในบริษัทอื่นต่อ ทำให้ BRK กลายสภาพจากบริษัทสิ่งทอไปเป็นเหมือนเครื่องมือลงทุนของบัฟเฟตแทน ในช่วงเวลาที่เขียนบทความเปรียบเทียบผลตอบแทน BRK ราคาอยู่ที่ 210,000 เหรียญ หรือคิดเป็นผลตอบแทนหลักล้านเปอร์เซ็นต์ (แต่ในปัจจุบัน BRK ขึ้นไปถึง 300,000 เหรียญแล้ว)
5 Well Fargo
ผลตอบแทนเฉลี่ย : 21%
ผลตอบแทนรวม : 9,417%
จำนวนปีที่ถือครอง : 24 ปี
ในช่วงหลายสิบปีก่อน บัฟเฟตออกตัวเสมอว่าเขาไม่ชอบลงทุนในหุ้นธนาคาร แต่ Well Fargo เป็นหุ้นที่เขาฝืนคำพูดตัวเองและเป็นหุ้นธนาคารที่เขาลงทุนตั้งแต่ในปี 1990 เขาเข้าซื้อช่วงที่ราคาหุ้นธนาคารตกต่ำลงอย่างมาก และเขาเลือกหุ้นธนาคารที่เขาคิดว่ามีศักยภาพสูงที่สุดมาเข้าพอร์ต
Well Fargo ถือเป็นหุ้นที่เป็นลายเซ็นอีกตัวหนึ่งของบัฟเฟต เพราะเขาถือหุ้นตัวดังกล่าวไว้ในสัดส่วนที่สูงมาก และเป็นผู้ถือหุ้นที่เป็นกลุ่มนักลงทุนที่ถือหุ้นมากที่สุดในบริษัท ถึงแม้ว่าธนาคารดังกล่าวจะผ่านวิกฤตหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ยังคงถือมาตลอดจนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่า Well Fargo เป็นหุ้นธนาคารที่เก่าแก่มากของบัฟเฟตตั้งแต่ยุคที่เขายังไม่ชอบหุ้นธนาคาร จนในตอนนี้ หุ้นหลักในพอร์ตเขากลายเป็นหุ้นธนาคารไปเกือบหมดแล้ว
ผลการลงทุนนี้ใช้พิสูจน์คำพูดเรื่องระยะเวลาการถือหุ้นในการลงทุนได้เป็นอย่างดี
บัฟเฟตเคยกล่าวว่าถ้าบริษัทยังดีอยู่ ระยะเวลาในการถือครองหุ้นคือตลอดไป และบัฟเฟตเองก็พิสูจน์ให้เห็นด้วยว่า หากหุ้นพื้นฐานเปลี่ยน เขาก็ต้องขายออกมาเหมือนกัน
อย่าง Petro China หรือ Freddie Mac ที่เขาขายออกมาได้ถูกจังหวะจึงสร้างผลตอบแทนได้อย่างมหาศาล ในขณะที่หุ้นที่เขาคิดว่าพื้นฐานยังดีอย่าง BYD หรือ Well Fargo เขาก็ยังคงถือต่อไป
อย่าลืมทำมุมมองการลงทุนของนักลงทุนอันดับหนึ่งของโลกไปปรับใช้กัน
ลงทุนศาสตร์ – Investerest
ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , OFFICIAL LINE และ WEBSITE
พิเศษ! เข้ากลุ่มเรียนหุ้นออนไลน์ฟรีกับลงทุนศาสตร์แบบไม่มีเงื่อนไขได้ที่ : เรียนหุ้นฟรีกับลงทุนศาสตร์
อัพเดทล่าสุดเมื่อ :