คำถาม 2 ข้อง่าย ๆ ที่ควรถามตัวเองก่อนลงทุน โดย วอร์เรน บัฟเฟตต์

ในปีค.ศ.2022 นี้ การลงทุนทำได้ง่ายเพียงแค่ปลายนิ้ว ช่องทางการลงทุนมีอยู่มากมาย และการลงทุนก็มีหลายรูปแบบ ผู้คนอาจสนใจการลงทุนมากขึ้น แต่ก่อนจะเข้าสู่โลกแห่งการลงทุน อาจมีคำถามสำคัญที่ควรพิจารณา ดังที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้แนะนำไว้ในการบรรยายร่วมกับ ชาร์ลี มังเกอร์ ตั้งแต่ปีค.ศ.1995 [1] คำถามง่าย ๆ ที่ควรถามตัวเองก่อนเริ่มลงทุนมีอยู่ 2 ข้อด้วยกัน ดังนี้

คำถามข้อแรก ตัวคุณเองรู้จักบริษัทที่คิดจะลงทุนดีแค่ไหน ?

เมื่อข่าวสารมากมายหลั่งไหลมา และคุณพบว่าผู้คนกำลังลงทุนในหุ้นที่ใครต่อใครต่างบอกกันว่าดี ตัวคุณเองมีความสนใจ หรือมีความสามารถมากพอที่จะทำความรู้จักกับบริษัทที่จะลงทุนได้ดีแค่ไหน

สำหรับวอร์เรน บัฟเฟตต์ แม้จะได้รับการยอมรับนับถือในฐานะมหาเศรษฐียอดนักลงทุนที่มีผู้คนติดตามแนวทางการลงทุนของเขาอยู่มากมาย แต่ตัวเขาเองก็เลือกที่จะลงทุนเฉพาะสิ่งที่ตัวเองรู้จักดี ทำการศึกษาข้อมูลมาอย่างเพียงพอแล้วเท่านั้น แม้จะทำให้พลาดโอกาสที่ดีไปก็ตาม

ครั้งหนึ่ง วอร์เรน บัฟเฟตต์เคยกล่าวไว้ว่าตัวเขาเองพลาดจากการลงทุนในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Google หรือ Amazon [2] แต่การที่เขาไม่เลือกลงทุนในหุ้นเหล่านี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาล้มเหลวในการลงทุนแต่อย่างใด เพราะหุ้นตัวที่เขาตั้งใจเลือกลงทุนก็ทำกำไรให้อย่างงดงามได้เช่นกัน

คำถามข้อที่สอง ตัวคุณเองรู้หรือไม่ว่าบริษัทมีโอกาสทำกำไรให้ได้ขนาดไหน

สำหรับวอร์เรน บัฟเฟตต์ หากเขาพบบริษัทที่มีผลประกอบการสะดุดตา มีความน่าสนใจมากพอ เขาก็อาจเลือกพิจารณาลงทุนในบริษัทนั้น เป็นที่รู้กันดีว่าวอร์เรน บัฟเฟตต์มักให้ความสนใจกับบริษัทที่แข็งแรงและมีคุณค่าในระยะยาว

การพิจารณาบริษัทสำหรับลงทุนในแบบของวอร์เรน บัฟเฟตต์นั้นไม่ได้ยากเย็นขนาดเป็นศาสตร์หรือเป็นศิลป์ แต่เป็นการเรียนรู้พฤติกรรมมนุษย์ทั่วไปอย่างละเอียด และเลือกตัดสินใจจากข้อมูลที่ได้จากการคิดวิเคราะห์ ในบางครั้ง สิ่งที่เรียบง่ายและดูเหมือนจะน่าเบื่อก็อาจกลายเป็นสิ่งที่ทำกำไรให้ ดังจะเห็นได้ว่าบริษัทมากมายที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ เลือกลงทุน มักจะเป็นสินค้าและบริการพื้นฐานที่ผู้คนต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่น้ำยาซักผ้า ใบมีดโกน ไปจนถึงน้ำอัดลม [3]

ในส่วนนี้ ชาร์ลี มังเกอร์ ได้กล่าวเสริมด้วยว่า การจะรู้ได้ว่าบริษัทที่สนใจมีโอกาสทำกำไรให้หรือไม่ สามารถตัดสินได้จากบันทึกผลประกอบการที่ผ่านมา หากบริษัทดูมีประวัติที่ดี และดูมีอนาคตที่ดี ก็จะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ไม่ยาก

คำถามทั้ง 2 ข้อที่ได้กล่าวมานี้อาจเป็นคำถามง่าย ๆ แต่การจะตอบคำถามเหล่านี้ได้ต้องใช้เวลาไตร่ตรองทบทวนเป็นอย่างมาก ดังนั้น ผู้ที่สนใจลงทุนจึงไม่จำเป็นต้องด่วนตัดสินใจ นักลงทุนควรค่อย ๆ ใช้เวลาพิจารณาโดยไม่รีบร้อน เลือกลงทุนในหุ้นที่ตนเองรู้จักข้อมูลดีพอ และเห็นโอกาสที่จะได้รับผลกำไรที่ดีกลับมาเท่านั้น