การลงทุน

Artificial Intelligent (AI) กับการลงทุน

Artificial Intelligent (AI) กับการลงทุน

Artificial Intelligent (AI) กับการลงทุน

 

ในทุกวันนี้เทคโนโลยี กลายมาเป็นกระแสหลักของโลกธุรกิจ เรามักจะได้ยินคำอย่าง FinTech, PropTech, Blockchain, Big data, IOT (Internet of things) บ่อยขึ้น ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นอนาคตของโลก แต่โดยส่วนตัวกลับคิดว่าเทคโนโลยีเหล่านี้เทียบไม่ได้เลยกับพัฒนาการที่กำลังเกิดขึ้นของ AI

 

เผ่าพันธุ์มนุษย์  หรือ Sapiens ได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 แสนปีแล้ว โดยใน 2 แสนปีนี้ สังคมมนุษย์พัฒนาไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่งเมื่อ ประมาณ 250 ปีก่อน มนุษย์ก็ค้นพบค้นพบจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ จุดเปลี่ยนนั้น คือการที่มนุษย์ประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำได้สำเร็จ เดิมทีมนุษย์ใช้แรงงานคนหรือสัตว์ในการทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ การประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำ จึงเป็นครั้งแรกที่คนสามารถนำพลังงานในธรรมชาติมาใช้ทดแทนแรงงานของสิ่งมีชีวิต ซึ่งนักคิดในสมัยนั้นเชื่อว่าการค้นพบนี้จะเป็นจุดสิ้นสุดของระบบเศรษฐกิจ โดยจะกล่าวได้คือ เราจะใช้เครื่องจักรทำงานแทนเรา มนุษย์คงจะไม่ต้องเหนื่อยกันอีกต่อไป

 

เมื่อผลที่เกิดขึ้นกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม

 

การประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำ นำไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของระบบเศรษฐกิจในสมัยปัจจุบัน

นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1750 จำนวนประชากรและตัวเลขทางเศรษฐกิจของโลกเติบโตแบบก้าวกระโดด นับเป็นครั้งแรกนับจาก 2 แสนปีที่มนุษย์ถือกำเนิดขึ้น นักคิดในสมัยนั้นคิดว่าแรงกายเป็นสิ่งที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจ ใน 250 ปีที่ผ่านมา Machine ต่าง ๆ  ได้ทดแทนแรงกายของมนุษย์แบบแทบจะสมบูรณ์ แต่สิ่งที่มันไม่เคยแทนที่ได้เลยคือสมอง หรือความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และการประดิษฐ์คิดค้นของมนุษย์เรา จนกระทั่งในราว 5 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยี hardware/software และ Infrastructure ที่เกี่ยวข้องเพิ่งจะพัฒนาไปมากเพียงพอที่จะทำให้การประดิษฐ์ AI ที่เหนือกว่ามนุษย์สามารถเป็นจริงขึ้นมาได้

 

AI คืออะไร?

 

AI ย่อมาจาก Artificial Intelligent แปลตรงตัวก็คือ สติปัญญาที่ถูกสร้างขึ้น และด้วยสติปัญญานี่เองทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์ มนุษย์มีทักษะทั้งด้านภาษา การคำนวณ และเรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเอง สิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นกับ AI

 

AlphaGo คือตัวอย่างหนึ่งของ AI ผู้สร้าง AlphaGo ไม่ได้สอนมันว่าควรจะเดินแบบไหนถึงจะมีโอกาสชนะมากที่สุด

เพียงแต่อธิบายกติกาของโกะ และปล่อยให้มันฝึกเล่นกับตัวมันเอง Alpha Go จึงแตกต่างจากเครื่องจักรชนิดอื่นๆ เพราะมันมีสติปัญญา และสามารถที่จะพัฒนาได้ด้วยตัวเอง AlphaGo ได้ปรากฏตัวผ่านสื่อครั้งแรกในปี 2015 หลังจากนั้น 2 ปี AlphaGo เอาชนะนักเล่นโกะที่เก่งที่สุดในโลกได้ จึงเกิดคำถามที่ว่า AlphaGo จะมาแทนมนุษย์ได้อย่างไร?

 

บริษัทที่เป็นเจ้าของ AlphaGo ชื่อบริษัท DeepMind เป็นบริษัทลูกของ Google โดยเรื่องนี้เริ่มมาจาก Google ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์เพื่อเก็บข้อมูลเป็นจำนวนมาก เซิร์ฟเวอร์พวกนี้ร้อนง่าย และต้องใช้เครื่องปรับอากาศมาช่วย จึงทำให้ Google เสียค่าไฟมหาศาล โดยปกติแล้ว ทีมวิศวกรที่ฉลาดที่สุดของ Google จะคอยควบคุมระบบเปิดและปิดเครื่องปรับอากาศเหล่านี้ ดังนนั้น DeepMind อยากลองทดสอบ AI ของตัวเอง จึงบอก Google ว่าอยากลองให้ AI ควบคุมระบบเปิดและปิดเครื่องปรับอากาศดู แต่ทีมวิศวกรของ Google ไม่เชื่อ AI พวกเขาคิดว่าระบบถูกออกแบบมาดีที่สุดแล้ว ไม่สามารถจะลดการใช้ไฟมากกว่านี้ได้ แต่ก็ยอมให้ DeepMind ทดลองใช้ AI ทำงานแทนพวกเขาดู ผลปรากฏว่า AI ของ DeepMind สามารถที่จะลดการใช้พลังงานลงได้มากกว่าเดิมถึง 40% ไม่ต้องสงสัยเลยว่า Google จะเลือกให้วิศวกรเงินเดือนสูงทำงานนี้ต่อ หรือให้ AI ของ DeepMind มาทำงานนี้แทน จึงเป็นที่มาของ AlphaGo ในเวอร์ชันหลังจากนั้น ก็ได้พัฒนาจนสามารถที่จะฝึกคิดวิเคราะห์และพัฒนาตัวเองได้ โดยไม่ต้องอาศัยข้อมูลในการเล่นของมนุษย์เลยแม้แต่กระดานเดียว

 

AI ยังถูกนำมาใช้ในงานอีกหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ตอนที่เรากำลัง search ข้อมูลใน Google ตอนที่เรากำลังอ่าน Newsfeed ใน Facebook ตอนที่เราเลือกซื้อสินค้าในเว็บ Shopping Online ทั้งหมดนี้มี AI กำลังทำงานอยู่เบื้องหลังการใช้อินเตอร์เน็ตของเรา กระทั่งตอนที่เราเกิดสนใจสินค้า และส่งข้อความไปสอบถามผู้ขาย เราอาจกำลังคุยกับ AI โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ในปัจจุบัน AI ยังสามารถวินิจฉัยโรคบางโรคได้ดีกว่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือแม้แต่สร้างหนังโฆษณาที่ได้รับความนิยมกว่าหนังโฆษณาที่นักโฆษณาทำ

 

 

ในวันนี้ AI อาจทำได้แค่เรื่องบางเรื่อง เช่น เล่นโกะ หรือคำนวณ

 

AI ในวันนี้อาจจะเหมือนเด็กที่เพิ่งอายุ 5 ขวบ แต่เด็กคนนี้จะพัฒนาไปในแต่ละวันที่ผ่านไป AI จะขับรถได้ปลอดภัยกว่าพนักงานขับรถ AI จะถ่ายรูปได้สวยกว่าช่างกล้อง และในวันหนึ่ง เราทุกคนอาจมี AI เป็นเลขาส่วนตัวเหมือนกับ Jarvis ในหนัง Iron Man ซุนดาร์ พิชัย CEO ของ Google บอกว่า AI จะเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญและเปลี่ยนโลกได้มากกว่าไฟฟ้า ในขณะที่เจฟฟ์ เบโซส CEO ของ Amazon บอกว่า บริษัทของเขากำลังทดลองใช้ AI แทนการใช้คนในส่วนงานต่าง ๆ และ Amazon กำลังจะนำเทคนิคการใช้ AI แทนคนที่ว่านี้ มาปล่อยให้เช่าผ่านระบบ Cloud Computing นั่นหมายความว่าทุกบริษัทในโลกจะสามารถใช้ AI ของ Amazon เพื่อแทนที่การจ้างพนักงานในบางสายงานได้ นี่อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่บริษัท SCB ออกมาประกาศว่าจะลดการรับพนักงานใหม่ และลดจำนวนสาขาลง และอาจเป็นเหตุผลที่มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ออกมาประกาศว่าการสร้างจุดมุ่งหมาย (Purpose) เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในอนาคตข้างหน้า

 

ในวันหนึ่ง อาจจะ 20 หรือ 50 ปีข้างหน้า AI จะพัฒนาจนฉลาดกว่ามนุษย์ และหน้าที่ประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่ว่าจะ FinTech, PropTech, Blockchain, IOT, AR/VR, Self-driving Car, Gene Editing ฯลฯ พวกนี้จะไม่ใช่หน้าที่ของมนุษย์เราอีกต่อไป แต่ละกลายไปเป็นหน้าที่ของ AI และ AI จะมีศักยภาพในระดับที่จะกลายมาเป็นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นสุดท้ายของมนุษยชาติ จึงน่าสนใจว่ามันเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญกว่าเทคโนโลยีอื่น ๆ อย่างเทียบกันไม่ได้

 

เราควรลงทุนในอะไร

 

จริงๆ คำถามที่สำคัญกว่าเรื่องนี้คือ เราต้องเข้าใจก่อนว่า AI จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ที่กระทบกับธุรกิจทั้งในและนอกประเทศยังไงมากกว่า แต่ส่วนตัวก็คิดว่าทำเหมือนเดิมคือ หาผู้ชนะในบริษัทที่ได้ประโยชน์จาก AI เช่น คนที่สร้าง AI, เจ้าของ Big data, ผู้ผลิต Hardware ที่เป็นผู้ชนะ หรือไม่ก็ฉีกไปเลยคือไปลงทุนในอะไรที่ไม่กระทบจาก AI แล้วยังสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้ เช่น ร้านอาหารอร่อยๆ หรือผลิตภัณฑ์ที่มี Brand แข็งแกร่งขั้นเทพ

 

บทความโดย นายมานะ

 

ลงทุนศาสตร์ – Investerest

ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , OFFICIAL LINE และ WEBSITE

 

พิเศษ! เข้ากลุ่มเรียนหุ้นออนไลน์ฟรีกับลงทุนศาสตร์แบบไม่มีเงื่อนไขได้ที่ : เรียนหุ้นฟรีกับลงทุนศาสตร์

 

อัพเดทล่าสุดเมื่อ :

เกี่ยวกับผู้เขียน

ลงทุนศาสตร์

ผมเขียนบทความเกี่ยวกับการลงทุนตั้งแต่เบื้องต้น เหมาะสำหรับผู้ลงทุนหรือผู้ที่มีความสนใจที่จะลงทุนที่รักหรือมีทีท่าว่าจะรักในศาสตร์ของการลงทุนเหมือนกัน