Delayed gratification อดทนต่อสิ่งล่อใจ หนึ่งในปัจจัยสู่ความมั่งคั่ง

เชื่อแน่ว่าทุกคนคงเคยผ่านตากันมาบ้างกับคอนเทนต์รอคอย ที่มีมาร์ชแมลโลชิ้นโตน่ากินวางอยู่บนจานและให้เด็ก ๆ นั่งรอจนครบเวลาจึงจะได้รับอนุญาติให้ทานได้ ซึ่งมีข้อตกลงระหว่างผู้ทำการทดสอบกับเด็ก ๆ ว่าหากเด็กคนไหนอดทนรอได้ ก็จะได้รับมาร์ชแมลโล่เพิ่มขึ้นเป็นสองชิ้น หรือในปริมาณที่มากกว่าบนจาน จบผลการทดลองพบว่า มีทั้งเด็ก ๆ ที่รอได้และไม่ได้ การทดลองมาร์ชแมลโล่ ( The Marshmallow Experiment ) นี้ ชี้ให้เห็นถึง Delayed gratification หรือหากแปลตรงตัวจะมีความหมายว่า “ความพึงพอใจที่ล่าช้า” ซึ่งหมายความถึงการอดทนรอต่อสิ่งล่อใจ ณ ขณะนั้นเพื่อสิ่งที่ดีกว่า

อย่างที่เราทราบกันดีว่า สมองชอบความสุขแบบทันที อะไรก็ตามที่สามารถตอบสนองความต้องการในขณะนั้นได้แบบรวดเร็ว ยิ่งทำให้สมองพึงพอใจ ซึ่งเป็นกลไกลปรกติในการให้รางวัลของระบบประสาท ในแง่ของทางการเงิน หากเราปล่อยให้สมองเคยชินกับการได้รับโดยทันที จะทำให้เราเสียความควบคุมในการใช้จ่าย และนั่นจะนำไปสู่ปัญหาการจัดการเงินต่าง ๆ อีกมากมายที่จะตามมา ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากกรณีการใช้บัตรเครดิต เพื่อซื้อสินค้าหรือบริการ จนนำไปสู่การมีหนี้บัตรเครดิตจำนวนมาก จนไม่สามารถชำระได้

ดังนั้น การฝึกสมองให้มีแรงต้านทานต่อความต้องการในปัจจุบัน จึงส่งผลดีต่อสุขภาพทางการเงินอย่างแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นหากคุณอดทนที่จะไม่ใช้จ่ายแบบฟุ่มเฟือย หรือซื้อทุกสิ่งอย่างในวันนี้ คุณก็จะมีเงินเก็บออมเป็นก้อน ไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน การยอมลดจำนวนวันในการซื้อกาแฟดื่ม จากทุกวันเหลือเป็นไม่กี่ครั้งต่อเดือน เพื่อมีเงินก้อนไว้ใช้เที่ยวปลายปี หรือการแบ่งเงินชอปปิ้งบางส่วนใส่บัญชีไว้ สำหรับตอนเกษียณอายุ เป็นต้น

Delayed gratification มีความสัมพันธ์กับการวางเป้าหมายระยะยาว คือการพิจารณาถึงจุดหมายที่อยู่ไกลออกไป มากกว่าความต้องการเพียงแค่ชั่วขณะเท่านั้น นอกจากนี้ ยังเกี่ยวข้องกับความสามารถในการควบคุมตนเอง และอดทนรอของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นทักษะที่มนุษย์ทุกคนสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้

Delayed gratification ในแง่ของการลงทุน อาจยกตัวอย่างเทียบได้กับการลงทุนรูปแบบ DCA: Dollar cost averaging หรือการลงทุนแบบสม่ำเสมอ ไม่ว่าหุ้นนั้นจะมีราคาเท่าไรก็ตาม โดยเชื่อมั่นว่าหากลงทุนในหุ้นที่มีความแข็งแกร่งและเติบโตได้ในอนาคต ผลตอบแทนรวมในระยะยาวนั้น ย่อมดีกว่าการซื้อขายแบบเข้า ๆ ออก ๆ ณ ปัจจุบันนั่นเอง

ดังนั้น ทุกครั้งก่อนที่คุณจะใช้จ่ายเงินเพื่อซื้ออะไรก็ตาม ให้คุณหยุดพิจารณาด้วยชุดคำถามเหล่านี้ก่อนว่า คุณต้องการสิ่งนั้นจริง ๆ หรือไม่ จำเป็นแค่ไหน ได้มาแล้วจะถูกใช้คุ้มค่าไหม หรือลองทบทวนดูว่าหากไม่มีของชิ้นนี้แล้ว จะสามารถนำเงินไปทำอะไรที่ดีกว่าในอนาคตได้หรือไม่