ถ้าพูดถึงเรื่อง “บ้าน” คงไม่มีใครไม่คิดถึง GLOBAL และ HMPRO ว่าแต่ทั้งสองบริษัทเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ติดตามในบทความนี้ได้เลย
HMPRO
HMPRO หรือบริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด ประกอบธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านและให้บริการที่เกี่ยวข้องแบบครบวงจร ก่อตั้งขึ้นในวันที่ 27 มิถุนายน 2538 จากการร่วมทุนของ LH และ QH โดยแบ่งธุรกิจหลักออกเป็นค้าปลีก 2 ประเภท ได้แก่ HomePro และ MegaHome
HomePro ดำเนินธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านและให้บริการที่เกี่ยวข้องอย่างครบวงจร โดยแบ่งสินค้าออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ Hard Line หรือสินค้าจำพวกวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ปรับปรุงบ้าน สี สุขภัณฑ์ เครื่องครัว และอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และ Soft Line หรือสินค้าจำพวกอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ โคมไฟ อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน
สัดส่วนแบ่งรายได้โดยประมาณของ Hard Line ต่อ Soft Line อยู่ที่ 80 : 20 โดยประมาณ นอกจากนี้ ศูนย์การค้ายังมีรายได้จากการให้บริการสืบเนื่องอื่นๆ เช่น บริการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการตกแต่งบ้าน พื้นที่ให้เช่าภายในศูนย์การค้า
MegaHome ดำเนินธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งวัสดุก่อสร้างซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายเป็นช่าง ผู้รับเหมา และเจ้าของโครงการ ต่างกับโฮมโปรที่เน้นไปที่ลูกค้ารายย่อยหรือเจ้าของบ้านมากกว่า Hua-Hin Market Village ดำเนินธุรกิจพื้นที่ให้เช่าในลักษณะของการเป็น community mall ซึ่งตั้งอยู่ที่แหล่งท่องเที่ยวหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
โดย ณ สิ้นปี 2561 บริษัทมีสาขาของ HomePro 82 แห่ง HomePro S 8 แห่ง MegaHome 12 แห่ง และ HomePro ที่ประเทศมาเลเซียอีก 6 แห่ง
GLOBAL
GLOBAL หรือบริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าวัสดกุ่อสร้าง วัสดุตกแต่ง เครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ในงานก่อสร้าง ต่อเติม ตกแต่ง บ้านและสวน ภายในอาคารหลังเดียวขนาดใหญ่ โดยเกิดจากการควบรวมกันระหว่าง บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด และบริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ (ขอนแก่น) จำกัดในปี 2550
Global House เป็นค้าปลีกขนาดใหญ่อาคารเดียวที่เน้นจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้างที่หลากหลาย โดยแบ่งสินค้าออกเป็น 2 กลุ่มหลักได้แก่ วัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์ หลังคา ท่อระบายน้ำ เหล็กตะปูลวด และอีกกลุ่มคือ วัสดุตกแต่ง เช่น สุขภัณฑ์ ประตูหน้าต่าง เครื่องมือช่าง สี เฟอร์นิเจอร์
สัดส่วนรายได้โดยประมาณอยู่ที่ก่อสร้างต่อตกแต่งที่ 36 : 64 โดย ณ สิ้นปี 2561 มีสาขาทั้งสิ้น 61 สาขาซึ่งเป็นสาขาในต่างจังหวัดทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ GLOBAL ยังมีบริษัทลูกคือ บริษัท โกลบอลเฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (“GBI”) ซึ่งเป็นโฮลดิ้งคัมพานีที่เน้นการร่วมทุนในการบริหารงานค้าปลีกวัสดุก่อสร้างร่วมกับค้าปลีกท้องถิ่นในประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน
เปรียบเทียบ HMPRO vs GLOBAL
ทั้ง HomePro และ GLOBAL ต่างมีลักษณะเป็นค้าปลีกจำพวก Category Killers ซึ่งมีลักษณะเป็นค้าปลีกสินค้าเฉพาะกลุ่มขนาดใหญ่ระดับห้างสรรพสินค้า โดยส่วนที่ชนกันโดยตรงได้แก่ MegaHome กับ Global House ซึ่งมีลักษณะเป็นค้าส่งและค้าปลีกวัสดุก่อสร้างที่เน้นกลุ่มเป้าหมายไปที่ช่าง ผู้รับเหมา และเจ้าของโครงการ ในขณะที่ HomePro ยังคงเป็นห้างที่เน้นจับกลุ่มลูกค้าเจ้าของบ้านเป็นหลัก
ดังนั้น หากเทียบกับ positioning ทางการตลาดโดยตรง ส่วนของ HomePro จะได้ชนกับส่วนตกแต่งบ้านในเซ็นทรัล โรบินสัน และเดอะมอลล์มากกว่า รวมไปถึงห้างสรรพสินค้าเชิงตกแต่งบ้าน เช่น อิเกีย อินเด็กซ์ลีฟวิ่งมอลล์ โฮมเวิร์ค รวมไปถึงเอสบีเฟอร์นิเจอร์
เปรียบเทียบในแง่มุมของลักษณะค้าปลีก Global House มุ่งเน้นไปที่พื้นที่การค้าขนาดใหญ่และหลากหลาย โดยมีพื้นที่เฉลี่ยอยู่ที่ 18,000 – 32,000 ตารางเมตร ในขณะที่ HomePro สาขาใหญ่จะมีขนาดตั้งแต่ 12,000 ตารางเมตรขึ้นไป ในจังหวัดที่มีขนาดเล็กอาจลดเหลือเพียงขนาดประมาณ 6,000 ตารางเมตร และล่าสุดเปิดตัวโมเดล HomePro S ซึ่งเป็นค้าปลีกขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในห้างอีกทีหนึ่งในลักษณะของ Specialty Store ซึ่งมีขนาดประมาณ 1,200 – 1,800 ตารางเมตร
ธุรกิจหลักของ HomePro เน้นการเปิดสาขาใหญ่ตามจังหวัดที่มีกำลังซื้อสูง สาขากลางตามจังหวัดที่มีกำลังซื้อไม่มาก และสาขาเล็กในกรุงเทพที่มักมีพื้นที่จำกัด โดยกลุ่มเป้าหมายหลักยังเป็นเจ้าของบ้าน ในขณะที่ GLOBAL เน้นลูกค้าต่างจังหวัด 100% และเน้นเฉพาะกลุ่มช่างและผู้ประกอบการ
ในลักษณะของการขยายตัวไปต่างประเทศ GLOBAL เน้นการขยายไปในรูปแบบของห้างค้าปลีกค้าส่งวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ เน้นการสร้างพันธมิตรกับค้าปลีกท้องถิ่น ในขณะที่ HMPRO ไปในลักษณะของการเปิดสาขาในห้างคล้ายกับ Department Store อีกทีหนึ่ง
กลุ่มทุนผู้ถือหุ้นใหญ่ของ HomePro ยังคงเป็น LH และ QH ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทมาตั้งแต่ต้น ในขณะที่ GLOBAL มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็น SCC ซึ่งเป็นบริษัทวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศไทย
ถึงแม้ว่า HMPRO และ GLOBAL จะดูเป็นธุรกิจที่มีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเจาะลึกลงในรายละเอียดก็ยังมีความแตกต่างมากมายอยู่ในเนื้อของกิจการทั้งสอง นักลงทุนจึงจำเป็นต้องแกะรอยและเปรียบเทียบกิจการอย่างละเอียด อย่างน้อยก็เพื่อจะได้เห็นภาพเรากำลังลงทุนในธุรกิจแบบไหนอยู่ การซื้อธุรกิจที่คล้ายคลึงกันด้วยความคิดว่ากิจการคงไม่ต่างกัน หลายครั้งก็ได้คำตอบว่าในเนื้อในนั้นยังมีความแตกต่างที่ซ่อนอยู่ไว้มากมาย
ลงทุนศาสตร์ – Investerest
ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , OFFICIAL LINE และ WEBSITE
พิเศษ! เข้ากลุ่มเรียนหุ้นออนไลน์ฟรีกับลงทุนศาสตร์แบบไม่มีเงื่อนไขได้ที่ : เรียนหุ้นฟรีกับลงทุนศาสตร์
อัพเดทล่าสุดเมื่อ :