MALEE หรือบริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งมาตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2521 โดยประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลไม้กระป๋องและน้ำผลไม้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า MALEE และแบรนด์รับจ้างผลิตอื่น โดยจากข้อมูลล่าสุดเมื่อสิ้นไตรมาส 3 ปี 2560 บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มพรีเมี่ยมอยู่ที่ 20% รองจาก TIPCO ที่ครองอันดับหนึ่งในตลาดที่ 28% แน่นอนว่า MALEE เป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มมาโดยตลอด บริษัทสามารถครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับต้นของประเทศ และมีทั้งสินค้าแบรนด์ตัวเองและรับจ้างผลิต จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ
แต่ความน่าสนใจคือ MALEE กำลังจะหันมาขายเครื่องสำอาง โดยจากข้อมูลของบริษัทที่ประกาศต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ระบุว่า MALEE กำลังจัดตั้งบริษัทร่วมค้า 2 บริษัท ผ่านบริษัทลูก ชื่อว่าบริษัท มาลี คีโน่ ประเทศไทย จำกัด (MKT) และบริษัท พีที คีโน่ มาลี อินโดนีเซีย จำกัด (PKM) โดยบริษัท MKT ที่ทำการตลาดในไทย บริษัท MALEE จะถือหุ้น 51% ในขณะที่ PKM ที่ทำการตลาดในอินโดนีเซีย บริษัท PT Kino Indonesia Tbk (KINO) ซึ่งเป็นบริษัทที่เข้ามาร่วมทุนครั้งนี้จะถือหุ้น 51%
บริษัทร่วมค้าทั้ง 2 แห่งจะเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าและการทำการตลาดระหว่าง 2 บริษัทจาก 2 ประเทศ โดย MALEE ผู้เชี่ยวชาญตลาดเครื่องดื่มในประเทศไทยจะนำสินค้าของ KINO ซึ่งเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านสินค้าอุปโภคบริโภค FMCG (Fast Moving Consumer Goods) จำพวกเครื่องสำอาง เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์จากอินโดนีเซียเข้ามาจำหน่ายในประเทศ ส่วน KINO ก็จะทำตรงกันข้ามกัน โดยนำสินค้าเครื่องดื่มต่างๆ ของ MALEE เข้าไปเปิดตลาดในประเทศอินโดนีเซีย
สินค้าที่เป็น Product Champion ของ KINO ได้แก่ เครื่องสำอางบำรุงผมยี่ห้อ Ellips ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดได้สูงถึง 80% นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่น่าสนใจอีกหลายตัว เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอุปกรณ์สำหรับเด็ก Sleek Baby (ส่วนแบ่งตลาด 73%) ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า OVALE (ส่วนแบ่งตลาด 62%) เป็นต้น โดย MALEE จะมุ่งเน้นการทำการตลาดในผลิตภัณฑ์บำรุงผมเป็นหลัก เพราะถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพสูงและพิสูจน์คุณภาพมาแล้วอย่างดีในประเทศอินโดนีเซียที่สามารถครองส่วนแบ่งตลาดไว้ในระดับสูง ทั้งที่ในตลาดดังกล่าวมีผู้ผลิตสินค้า FMCG มาแข่งขันกันเต็มไปหมด
บริษัท KINO เองก็เป็นบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เช่นกัน โดย KINO จดทะเบียนอยู่ที่ตลาดหลักทรัพย์จาการ์ต้า ประเทศอินโดนีเซีย KINO มีขนาดกิจการประมาณ 3,029 พันล้านรูเปี๊ยะ หรือตีเป็นเงินไทยประมาณ 7,000 ล้านบาท ซึ่งก็ไม่ทิ้งห่างจาก MALEE มากนักที่วันที่เขียนบทความฉบับนี้มีมูลค่ากิจการอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาทไทย
เทียบ KINO กับ MALEE
ปี 2014 KINO รายได้ 8,081.31 ล้านบาท กำไร 252.14 ล้านบาท
ปี 2014 MALEE รายได้ 4,767.35 ล้านบาท กำไร 306.96 ล้านบาท
ปี 2015 KINO รายได้ 8,723.94 ล้านบาท กำไร 636.60 ล้านบาท
ปี 2015 MALEE รายได้ 5,428.29 ล้านบาท กำไร 330.76 ล้านบาท
ปี 2016 KINO รายได้ 8,455.64 ล้านบาท กำไร 438.42 ล้านบาท
ปี 2016 MALEE รายได้ 6,541.20 ล้านบาท กำไร 530.02 ล้านบาท
ถ้าเปรียบเทียบจากรายได้ กำไร และขนาดของกิจการแล้ว ทั้ง KINO และ MALEE ก็ถือว่าเป็นพันธมิตรที่น่าจะเข้ากันได้ดีในการแลกเปลี่ยนทรัพยากรและความสามารถซึ่งกันและกัน KINO เองถือเป็นผู้จัดจำหน่ายที่มีช่องทางและความสามารถสูงรายหนึ่งของอินโดนีเซีย ในขณะที่ MALEE เองก็มีความสามารถในการกระจายสินค้าในประเทศไทยเช่นกัน ความสามารถในการกระจายสินค้าของแต่ละฝ่ายก็จะช่วยกระจายและสร้างผลประโยชน์ร่วมกันได้หากบริษัทร่วมค้านี้ประสบความสำเร็จ
งานนี้คงต้องเรียกว่า MALEE จะขายเครื่องสำอางได้จริงๆ เพราะทุนจดทะเบียนขนาด 200 ล้านบาทของ MKT ไม่ใช่ขนาดเล็กๆ เลยเมื่อเทียบกับบริษัทขนาด MALEE ที่ทำกำไรสุทธิได้ปีละหลักร้อยล้าน ไม่รู้ว่าช่องทางเดิมในมือของ MALEE จะมีประโยชน์มากแค่ไหนกับสินค้ากลุ่มใหม่ๆ อย่างเครื่องสำอาง รวมไปถึงบริษัทจะใช้กลยุทธ์แบบใดในการแทรกตัวเข้าไปในตลาดเครื่องสำอางที่เรียกได้ว่าแทบจะเป็นน่านน้ำสีแดงไปแล้วก็ว่าได้
การตั้งธุรกิจร่วมค้าของ MALEE แบบนี้ถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว ตัวแรกคือได้นำสินค้าของตัวเองเข้าไปขายในต่างประเทศ กับอีกตัวหนึ่งคือการได้สินค้ากลุ่มใหม่มาขายในประเทศไทย แน่นอนว่าความตกลงนี้จะยอดเยี่ยมก็ต่อเมื่อ บริษัทเล็งเป้ายิงนกทั้ง 2 ตัวได้อย่างจับวาง
ลงทุนศาสตร์ – Investerest
ปล. เครดิตรูปภาพ 11street และ Watsons
อัพเดทล่าสุดเมื่อ :