วิทยาศาสตร์

ประวัติศาสตร์การแพทย์ที่มาคู่กับประวัติศาสตร์สงคราม

ประวัติศาสตร์การแพทย์ที่มาคู่กับประวัติศาสตร์สงคราม

ประวัติศาสตร์การแพทย์ที่มาคู่กับประวัติศาสตร์สงคราม

 

ความขัดแย้งและสงคราม แน่นอนว่าต้องมีความรุนแรงเกิดขึ้น การบาดเจ็บล้มตายจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ไปโดยปริยาย ความน่าสนใจนั้นอยู่ที่ว่า หลายครั้งการค้นพบนวัตกรรมหรือการพัฒนาทางการแพทย์ ก็เกิดขึ้นในสถานการณ์สงคราม เนื่องจากมีผู้ป่วยจำนวนมาก การแพทย์จึงต้องปรับตัวและพยายามคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ทั้งอาจโดยเจตนาและไม่เจตนา เพื่อตอบสนองต่อสภาวะที่ผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก การค้นพบเหล่านั้น กลายมาเป็นสิ่งที่ถูกปรับใช้จริง เมื่อความขัดแย้งและสงครามจบลง

 

ยกตัวอย่างเช่น สงครามกลางเมืองสหรัฐฯ ค้นพบการใช้ยาชาหรือยาสลบเมื่อปีค.ศ. 1846 ถึงแม้สื่อมากมายจะฉายภาพสงครามอย่างเจ็บปวด แต่เชื่อหรือไม่ว่า ยาที่ทำให้ไม่มีความรู้สึก หรือยาชานั้น กลายมาเป็นยาที่ใช้จวบจนปัจจุบัน ดังนั้น การค้นพบนี้จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการผ่าตัดยุคต่อ ๆ มา

 

สงครามโลกครัั้งที่หนึ่ง ได้กระตุ้นให้ผู้คนต้องมีการถ่ายเลือดให้กันและกันมากขึ้น การปรับตัวนี้เองก็ทำให้สามารถช่วยเหลือชีวิตคนในสงครามได้มากขึ้น อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นผลพลอยได้จากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง คือการใช้อาสาสมัครขับรถพยายามเพื่อเข้าไปช่วยขนคนป่วยออกจากสนามรบ การคมนาคมแบบนี้ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาทำให้ย่นระยะเวลาการรักษาให้รวดเร็วมากขึ้น เมื่อได้รักษาเร็ว อัตราผู้รอดชีวิตก็มากขึ้นอีก

 

จากค้นพบอีกอย่างจากช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง คือการรักษาโรคมะเร็งด้วยการทำคีโม การใช้แก๊สพิษที่เข้าไปทำลายเซลล์ การพัฒนานี้ใช้เวลาอยู่ช่วงหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วก็สำเร็จเป็นโมเลกุลที่สามารถฆ่ามะเร็งได้ ถึงแม้ว่าจะมีผลข้างเคียงเยอะมาก แต่ยิ่งการแพทย์ปัจจุบันดีขึ้นมากเท่าไหร่ ก็สามารถปรับตัวกับอาการข้างเคียงได้มากขึ้นเท่านั้น

 

สำหรับสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้เกิดการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างแพร่หลายมากขึ้น ยา Sulfa ถูกค้นพบในปีค.ศ. 1935 และยา Penicillin ก็ถูกพัฒนาขึ้นมาในปีค.ศ. 1939 ทำให้เกิดผลประโยชน์ทางบวกต่อการแพทย์ทั่วโลก อีกการค้นพบหนึ่งที่สำคัญจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สองคือ การใช้แผ่นเหล็กในการรักษากระดูกที่หัก เทคนิคนี้ถูกคิดค้นโดยหน่วยการแพทย์ของเยอรมัน

 

จากนั้น สงครามเกาหลีก็มีการพัฒนาการแพทย์ที่สามารถช่วยเหลือและรักษาชีวิตคนได้ โดยการใช้เฮลิคอปเตอร์เข้าไปในสนามรบและอพยพย้ายผู้ป่วยออกมาในสถานที่ที่มีเครื่องมือทางการแพทย์ครบครัน

 

ถัดมาในสงครามเวียดนาม ได้นำมาสู่การแพทย์ที่สำคัญหลาย ๆ อย่าง เช่น การใช้เลือดแช่เเข็ง การแช่แข็งเลือดมีอายุเก็บเลือดได้แค่ 21-30 วัน การที่มีผู้คนล้มตายจำนวนมาก นั่นแปลว่าเลือดขาดแคลนอย่างหนัก แล้วสามารถเก็บเลือดไว้ใช้ได้ในระยะเวลาที่ยืดออกไปหน่อย ก็ช่วยรักษาไว้หลายชีวิต

 

การดูแลรักษาแผลไฟไหม้ก็ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงสงครามเวียดนาม โดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อและยาปฏิชีวนะในการป้องกันการติดเชื้อที่อันตราย อีกเรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามเวียดนามคือการเสียน้ำในร่างกายเป็นจำนวนมาก การพัฒนาการจัดการเลือด และดูแลผู้ป่วยที่ขาดน้ำก็เป็นผลพลอยได้จากสงครามเวียดนามเช่นกัน

 

หนึ่งในการค้นพบสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสำหรับคนทั่วไปและทหาร คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังสงครามสงบ ถูกเรียกในชื่ออาการว่า Post-Traumatic Stress Disorder (PTSD) หรือ ภาวะเครียดหลังเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง การเรียกชื่อและนิยามโรคดังกล่าวเกิดจากเหล่าจิตแพทย์ที่ดูแลทหารที่กลับมาจากสงคราม ไม่ได้มองเป็นแค่ความปรับตัวกลับจากสงครามไม่ได้ หรือความเหนื่อยล้าหลังสงคราม แต่ระบุว่าเป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษา

 

ลงทุนศาสตร์ – Investerest

ติดตามบทความดีดีกดที่นี่เลย FACEBOOK , OFFICIAL LINE และ WEBSITE

 

พิเศษ! เข้ากลุ่มเรียนหุ้นออนไลน์ฟรีกับลงทุนศาสตร์แบบไม่มีเงื่อนไขได้ที่ : เรียนหุ้นฟรีกับลงทุนศาสตร์

 

อ้างอิง
A Nation Must Think Before It Acts, Advances in medicines during war, Retrieved from https://www.fpri.org/article/2018/02/advances-in-medicine-during-wars/
Brittanica, World War II and After, Retrieved from https://www.britannica.com/science/history-of-medicine/World-War-II-and-after
The New York Times Magazines, A History of War in 6 Drugs, Retrived from https://www.nytimes.com/2020/01/03/magazine/history-war-six-drugs.html

 

อัพเดทล่าสุดเมื่อ :

เกี่ยวกับผู้เขียน

ลงทุนศาสตร์

ผมเขียนบทความเกี่ยวกับการลงทุนตั้งแต่เบื้องต้น เหมาะสำหรับผู้ลงทุนหรือผู้ที่มีความสนใจที่จะลงทุนที่รักหรือมีทีท่าว่าจะรักในศาสตร์ของการลงทุนเหมือนกัน